ประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องกลุ่มทุนสีเทาที่เข้ามาประกอบธุรกิจแย่งงานคนไทย และธุรกิจผิดกฎหมาย อีกทั้งขณะนี้ยังมีการจับตาว่า มาตรการขยายเวลาเช่าที่ดิน 99 ปี ถือครองคอนโดมีเนียมได้ 75% ของอาคารชุด จะทำให้มีกลุ่มต่างชาติเข้ามาหากินแย่งงานคนไทย แถมประกอบธุรกิจแบบเอาเปรียบคนไทยหรือไม่

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.น.ส.ภัทรนันท์ จารุดุล อายุ 29 ปี ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพป้ายโฆษณาที่ถ่ายจากสี่แยกห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตห้วยขวาง กทม. ในป้ายมีภาษาจีนตัวใหญ่และมีรูปคนสูงอายุภูมิฐาน ข้อความบนป้ายแปลได้ว่า “ขายหนังสือเดินทางตรวจคนเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแปลงสัญชาติถูกกฎหมาย 100% โดยมีให้เลือกสัญชาติคือ อินโดนีเซีย ราคา 30,000 หยวน, วานูอาตู 70,000 หยวน, กัมพูชา 100,000 หยวน, ตุรกี 150,000 หยวน ทำหนังสือเดินทางได้ภายใน 30 วัน , ปลอดภัย, เป็นความลับ , ทำเสร็จค่อยจ่ายเงิน , รับสมัครตัวแทนทั่วโลก เป็นกลุ่มบริษัทเชี่ยวชาญด้านการย้ายประเทศ ก่อตั้งมากว่า 13 ปี และได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ”

เมื่อภาพปรากฏลงโซเชี่ยลมีเดีย ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ในประเทศไทยซื้อขายความเป็นพลเมืองได้หรือไม่ และป้ายถูกปลดออกทันทีในวันที่ 22 ก.ค. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ( สตม.) ยืนยันว่า ประเทศไทยนั้นยืนยันว่าไม่มีการซื้อขายสัญชาติแบบนี้แน่นอน จากการตรวจสอบเบื้องต้นในป้ายโฆษณา เป็นการซื้อขายสัญชาติในประเทศของพวกเขา ไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อขายสัญชาติไทย เพียงแต่ใช้พื้นที่โฆษณาในประเทศไทยเท่านั้น จึงยังไม่เห็นว่าจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศไทย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ สน. ห้วยขวาง สั่งการให้ตรวจสอบถึงที่มาที่ไปถึงการขึ้นป้ายโฆษณาดังกล่าวและหากมีมีความผิดตามกฎหมายก็ให้ดำเนินการตามกระบวนการ และสั่งให้ทางเจ้าหน้าที่เข้มงวดในพื้นที่ดังกล่าวให้ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากเขตห้วยขวางมีการเข้ามาลงทุนทำธุรกิจของชาวจีนจำนวนมาก

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตรวจสอบโดยด่วนถึงที่มาของป้าย ผู้ใดเป็นเจ้าของ และมีความผิดตามกฎหมายในเรื่องใดบ้าง และติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายในทุกมิติโดยเร็ว ในส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ

รมว.มหาดไทย เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ใครคือเจ้าของผู้โฆษณา และสั่งให้เปิดเผยต่อประชาชน พร้อมย้ำว่า ตั้งแต่รัฐบาลประกาศนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการผ่อนคลายวีซ่าให้ 93 ประเทศ นายอนุทิน ได้ให้นโยบายกับผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( อปท.) ทุกแห่ง ให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยความมั่นคงในการตรวจสอบ สอดส่อง กวดขันอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการใช้ไทยเป็นฐานก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบ

และกรมการปกครองก็ตรวจสอบอย่างรวดเร็ว เห็นว่า การขึ้นป้ายอาจจะเป็นความผิดตามกฎหมายในการรับจ้างปลอมแปลงเอกสาร หรืออาจเป็นการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สิน กรมการปกครองได้ประสานงานกับผู้ดำเนินการรับจ้างติดตั้งป้ายดังกล่าวและ กทม.เพื่อขอทราบถึงคนที่มาว่าจ้างติดตั้งป้าย เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทีมข่าวอาชญากรรมเดลินิวส์ ได้รับการเปิดเผยชี้แจงข้อเท็จจริงจากนายเอ (นามสมมติ) เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ 081-720-1188 บนป้ายโฆษณาบริเวณสี่แยกห้วยขวาง ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ว่า ผู้ประสานขอติดป้ายได้มีการติดเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเป็นคนจีนโทรศัพท์มาขอติดป้าย ใช้การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งได้แจ้งความประสงค์ติดป้ายโฆษณามาว่า เป็นบริษัทเกี่ยวกับ Immigration ( การอพยพโยกย้าย ) และรับทำหนังสือเดินทาง ทางจีนส่งตัวอย่างมาไม่มีภาษาไทย เราแปลไม่ออก จึงได้แค่แจ้งเรื่องภาษีป้าย

นายเอ ระบุว่า ได้สอบถามไปทางบริษัทจีนในช่วงกลางคืนวันที่ 21 ก.ค. บริษัทก็แจ้งกับเราว่าบริษัทมีการรับทำเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง และการโยกย้ายถิ่นฐาน เป็นกรณี 2 พาสปอร์ต และเขาชี้แจงว่า บางประเทศถือสองพาสปอร์ตได้ แต่ไทยถือได้เพียงพาสปอร์ตเดียว เมื่อสุ่มเสี่ยงเราก็ไม่อยากให้มีปัญหาจึงปลดป้าย

ในย่านห้วยขวางนั้นมีคนจีนอยู่จำนวนมาก ประชาชนที่อาศัยคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งในย่านดังกล่าว ระบุว่า คอนโดฯ ถูกคนจีนเข้ามาซื้อห้องเหมาเกือบยกชั้นและปล่อยเช่ารายวัน หรือปล่อยเช่าเป็นแพคเก็จราคาตกวันละหลายพันบาท และพอมีการเช่าเกิดขึ้นก็ให้คียการ์ดกัน กิจการบางอย่างก็มีต่างชาติเข้ามาทำกิน แม้แต่ร้านรถพ่วงสีเหลืองที่ขายชานมไข่มุก มักมีคนจีนคอยส่งวัตถุดิบให้คนเวียดนามมายืนขายเป็นประจำ เวลาโอนชำระเงินก็เป็นชื่อบัญชีคนเวียดนาม จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสิทธิของคนไทยและรักษาผลประโยชน์ตรงนี้ไว้บ้าง

วาระจับตาทางการเมืองในวันที่ 23 ก.ค.จึงเป็นเรื่องต่อเนื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบเรื่องการขึ้นป้ายดังกล่าว ว่า มีขบวนการแอบสวมสัญชาติไทยหรือไม่ บริษัทที่ว่าจ้างถูกต้องโปร่งใสหรือไม่ และจะมีวาระทางสังคมเกี่ยวกับเรื่องการที่ต่างด้าวเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยจนแย่งทรัพยากร แย่งงานคนไทย รัฐบาลจะมีนโยบายอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนในประเทศ และอาจต้องลามไปทบทวนนโยบายขยายเวลาเช่าที่รวมทั้งเป็นเจ้าของคอนโดมีเนียมด้วย

สำหรับเรื่องความเคลื่อนไหวตำแหน่งในวุฒิสภาที่จะเลือกประธานในวันที่ 23 ก.ค. มีรายงานว่า “สว.สายสีน้ำเงิน” 150 คนได้ประชุมกันแล้วที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ยืนยันวัน จะเสนอชื่อนายมงคล สุระสัจจะ สว.ชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ สว.ชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และนายบุญส่ง น้อยโสภณ ชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ถือเป็นการแบ่งโควตาให้สายอิสระ เพื่อลดแรงกดดันไม่ให้ สว.สายสีน้ำเงินถูกมองว่ากินรวบวุฒิสภา

มงคล สุระสัจจะ
พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์
บุญส่ง น้อยโสภณ

ขณะเดียวกันในตำแหน่งประธานกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญประจำวุฒิสภา ที่มี 26 คณะในปัจจุบัน จะต้องลดจำนวนคณะกรรมาธิการลง เพราะ สว.ชุดนี้มี 200 คน จากเดิมมี 250 คน เบื้องต้น สว.สายสีน้ำเงินได้จองโควตาประธาน กมธ.สามัญให้ตรงกับที่พรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลกระทรวงอยู่ และยึด กมธ.ชุดสำคัญๆ ไว้ แต่ยังต้องพิจารณาความเหมาะสมในการเกลี่ยเก้าอี้ประธาน กมธ.ให้ สว.สายอิสระด้วย

น.ส.หทัยรัตน์ พหลทัพ อดีตผู้สมัคร สว.กลุ่ม 18 สื่อมวลชนและผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม จี้ให้ตรวจสอบ สว. กลุ่ม 18 ถูกจำคุกและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2561 เพราะถือว่า ขาดคุณสมบัติการสมัคร สว. เพราะยังพ้นโทษไม่ถึง 10 ปี และขอให้ตรวจสอบผู้ได้รับเลือกเป็น สว.ในกลุ่ม 18 อีกคนหนึ่งที่มีประวัติอาชญากรรมด้วยข้อหาจ้างวานฆ่าภรรยาตัวเอง และยังว่า ยังมีอีกหลายกรณีที่ กกต.ยังไม่ดำเนินการเอาผิด

ซึ่งคนที่ น.ส.หทัยรัตน์ กล่าวถึง คือว่าที่ พ.ต.กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ สว.กลุ่ม18 ชี้แจงว่า สมัยเป็นนักข่าวที่ระยอง ลงพื้นที่ทำข่าวปรากฏว่ามีบุคคลคนหนึ่งโผล่มาและมีปากเสียงจนเกิดเหตุวิวาท แต่คดีนี้สิ้นสุดแล้ว ศาลมีคำพิพากษาให้รอลงอาญา ไม่ได้มีโทษจำคุกแต่อย่างใดดังนั้นจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็น สว. ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการดิสเครดิต

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือก สว.ครั้งนี้คือ “ที่สุดแล้ว กกต.จะสอยเพราะขาดคุณสมบัติกี่คน โดยเฉพาะ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักที่สุดก็ยิ่งถูกจับตามากที่สุด”

ส่วนวาระทางการเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจคือเรื่องวาระการประชุม ครม. และการที่นายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.กรุงเทพ พรรคเพื่อไทยจะสมัครเข้าพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) พร้อมเปิดเผยความในใจ.

ทีมข่าวการเมือง