เรื่องร้อนๆ ต่อเนื่องคือคุณสมบัติของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. กกต.ได้ตั้งเรื่องสอบว่า การระบุประวัติการศึกษาว่าเป็นศาสตราจารย์ จบปริญญาเอกจาก California University ในใบเอกสารแนะนำตัวสมาชิกวุฒิสภา (สว.3) เข้าข่ายเป็นการกระทำหลอกลวง จูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณเพื่อให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ตนตามมาตรา77 (4) พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561หรือไม่ ถ้ามีความผิดโดนใบแดง ต้องเลื่อนรายชื่อสำรองลำดับ 1 ขึ้นมาแทน คือ นายธณัชญ์พงศ์ วงศ์มุลาลี

ข้อมูลจากแอปพลิเคชัน SmartVote บันทึกว่า มาจากจังหวัดมหาสารคาม ว่ามีอายุ  56 ปี อาชีพค้าขาย ประวัติการศึกษาจบปริญญาตรี (กศบ.) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม จบปริญญาโท (รปม.) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นนักธุรกิจขายตรงกับแบรนด์ชื่อดังเจ้าหนึ่ง มีประสบการณ์กว่า 30 ปี เคยศึกษาดูงานต่างประเทศกว่า 10 ประเทศทั่วโลก  อดีตเคยเป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร

พญ.เกศกมล จะถูกสอบสวนซ้ำอีก กรณีกรอกประวัติเป็น “แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม” ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญที่แพทยสภาไม่ได้รับรอง ที่ประชุมมีมติจะตั้งข้อกล่าวโทษ พญ.เกศกมล ตามมาตรา 32 วรรคสาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มอบหมายให้เลขาธิการแพทยสภา ดำเนินการตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม. พ.ศ.2563 โดยจากนี้จะมีการนำเข้าที่ประชุมกรรมการแพทยสภาอีกครั้งในวันที่ 8 ส.ค.นี้ หากมีมติรับรองให้สอบก็จะส่งเข้าที่ประชุมอนุกรรมการจริยธรรมเพื่อพิจารณาต่อไป 

พล.อ.ท.นพ.อิทธพร คณะเจริญ  เลขาธิการแพทยสภา โพสต์เฟซบุ๊กอธิบายว่า ถ้ามีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 28 มีโทษตามมาตรา 44 คือจำคุกไม่เกิน 1 ปีและปรับ ไม่เกิน 10,000 บาท และหากมีความเสียหายต่อผู้ป่วยจะเป็นคดีแพ่งและอาญา การอ้างเป็นเช่นผู้เชี่ยวชาญด้าน ความงาม ผิวพรรณ ร้อยไหม ปรับโครงสร้างใบหน้า ฯลฯ ในการประชุม แพทยสภา ครั้งที่ 7 วันที่ 11 ก.ค.ได้มีมติให้ตรวจสอบคุณวุฒิแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายในโฆษณา

รวมถึงตรวจสอบความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ สว.ที่ปรากฏในสื่อ หากไม่ถูกต้องให้ดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า เรื่องชะลอวัย ความงาม เสริมสวย เหล่านี้ ยังไม่อยู่ใน 94 สาขาความเชี่ยวชาญที่แพทยสภารับรองตามกฎหมาย จึงไม่สามารถใช้คำว่า เชี่ยวชาญด้านความงาม หรือ เสริมสวย หรือชะลอวัยได้ เบื้องต้น ได้ขอเอกสารจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอกสารจาก พญ.เกศกมลมาตรวจสอบ โดยสั่งไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. เรียกว่า กรณีของ พญ.เกศกมล กระเทือนคลินิกความงามหลายแห่งก็น่าจะได้

ภายหลังจาก ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งเพิ่มงบกลาง 1.22 แสนล้านบาทเพื่อใช้อุดหนุนโครงการเงินดิจิทัลผ่านสภาวาระแรก ก็เป็นที่น่าสนใจว่า “พรรคเพื่อไทยจะต้องสนับสนุนนโยบายเรือธงของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่” “เสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ส่งสัญญาณว่า “โดยหลักการ พรรคร่วมรัฐบาลควรสนับสนุนนโยบายซึ่งกันและกัน” ก็ไม่ใช่เรื่องอะไร คือ นโยบายกัญชา กระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลนี้ต้องการให้กัญชากลับเป็นยาเสพติด

แต่พรรคภูมิใจไทยที่มีนโยบายนี้เป็นนโยบายเรือธง เรียกร้องให้ผ่าน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เพื่อการใช้ พร้อมชี้ให้เห็นว่า หากเอากลับไปเป็นยาเสพติดจะกระทบกับผู้ที่ประกอบธุรกิจอยู่มหาศาล ซึ่งเสี่ยหนูได้ชี้แจงต่อ เสี่ยนิด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ว่า “ยังมีข้อมูลที่จะต้องใช้พิจารณาอีกมาก ก่อนจะตัดสินใจนำกัญชาไปเป็นยาเสพติด” พร้อมทั้งยืนยันว่า ในฐานะ รมว.มหาดไทย ที่ต้องเข้าไปลงมติในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) คงสงวนท่าที และโหวตไม่เห็นด้วย ก็รอดูท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อจากนี้

ขณะเดียวกัน สส.บางส่วนของพรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย ก็บีบนโยบายของพลังประชารัฐ ( พปชร. ) เช่นกัน คือนโยบายปุ๋ยคนละครึ่งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กุมบังเหียนนำกระทรวงอยู่ โดยสส.ได้หารือในที่ประชุมสภาก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระเมื่อวันที่ 18 ก.ค. สส.เพื่อไทยและภูมิใจไทย ได้อภิปรายในประเด็นว่า โครงการนี้มีปัญหามากมาย ทั้งการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น สูตรปุ๋ยที่อาจจะไม่ตรงใจกับชาวนา ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่สำคัญคือ เงินที่เกษตรกรจะต้องนำไปซื้อปุ๋ยและต้องสำรองจ่ายก่อนครึ่งหนึ่ง ซึ่งชาวนาฝากมาพูดว่าอยากให้รัฐบาลได้ทบทวน และถ้าเป็นไปได้เกษตรกรอยากได้การช่วยเหลือแบบไร่ละพันเหมือนเดิม ตอบโจทย์ได้ตรงกว่า ซึ่งแรงหนุนของโครงการในขั้วเพื่อไทยก็มี ตามที่เป็นข่าวคือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์เห็นด้วย และมีการมองว่า เป็นโครงการที่ใช้เงินน้อยกว่าการอุดหนุนไร่ละพัน

ขณะที่หลายคนในพรรคเพื่อไทยอย่างนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ไม่สบายใจนัก กลัวจะเสียฐานเสียง ก็ต้องดูว่า ..ถ้านโยบายกัญชาคือเพื่อไทยงัดข้อกับภูมิใจไทย ปุ๋ยคนละครึ่งจะเป็นการงัดข้อระหว่างเพื่อไทย+ภูมิใจไทยกับ พปชร.หรือไม่

ปิดท้ายที่นโยบายปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังเกี่ยวกับเรื่องการใช้โดรนขนส่งยา อีกทั้งต้องให้ขวัญและกำลังใจเจ้าหน้าที่ ถ้าจับกุมผู้กระทำผิดได้จะต้องมีการให้รางวัล ขอให้ดูแลเรื่องการแบ่งสรรปันส่วนให้มีความพร้อมเหมาะสม ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน เมื่อยึดทรัพย์มาแล้วก็ให้ไปส่วนหนึ่ง หรือตอนที่จับได้จะต้องแบ่งเป็นสินน้ำใจไปส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ นายกฯ ยังไม่สบายใจที่เห็นปัญหาราคายาบ้ายังถูก เพราะแสดงว่า มีการผลิตในต่างประเทศและลำเลียงมาขายในไทยเป็นจำนวนมาก

ทีมข่าวการเมือง