เมื่อวันที่ 18 ก.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 11/2567 เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการหยิบยกประเด็นคุณสมบัติ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือ “หมอเกศ” สว.กลุ่ม19 (กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ) กรณีกรอกประวัติเป็น “แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม” ขึ้นมาพิจารณา เนื่องจากเห็นว่า เป็นความเชี่ยวชาญที่ไม่ได้มีการรับรอง โดยที่ประชุมมีมติตั้งข้อกล่าวโทษ พญ.เกศกมล ตามมาตรา 32 วรรคสาม พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มอบหมายให้เลขาธิการแพทยสภา ดำเนินการตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2563 โดยจากนี้จะมีการนำเข้าที่ประชุมกรรมการแพทยสภาอีกครั้งในวันที่ 8 ส.ค. นี้ ตามรอบการประชุมกรรมการแพทยสภาทุกวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือน ซึ่งตามขั้นตอนแล้ว หากมีมติรับรองก็จะส่งเข้าที่ประชุมอนุกรรมการจริยธรรมเพื่อพิจารณาต่อไป 

วันเดียวกันนี้ พล.อ.ท.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประเด็น “94 ความเชี่ยวชาญแพทย์ไทย และการแอบอ้างความเชี่ยวชาญ” โดยระบุว่า แพทยสภาชวนมารู้จักความเชี่ยวชาญของแพทย์ไทย ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้ 1. แพทยสภาเป็นผู้กำกับดูแล หลักสูตรความเชี่ยวชาญของแพทย์ไทยด้านต่างๆ ผ่านราชวิทยาลัยแพทย์และวิทยาลัยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 15 แห่ง และ 1 สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันฯ เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน โดยมีคณะแพทยศาสตร์และสถาบันฝึกอบรมต่างๆเป็นผู้จัดการเรียนการสอน ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน

2. แพทยศาสตรบัณฑิต ที่จบการศึกษา 6 ปี ถือว่าเป็นแพทย์ทั่วไปยังไม่มีความเชี่ยวชาญใดๆ ต้องเข้าโปรแกรมการฝึกอบรมต่อ แพทย์ประจำบ้าน อีก 3 ถึง 7 ปี จึงเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตามกฎหมาย โดยต้อง สอบผ่านได้รับ บัตรอนุมัติหรือวุฒิบัตรก่อน ถึงจะใช้คำว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ โดยสามารถตรวจสอบ ชื่อและความเชี่ยวชาญ ของแพทย์แต่ละท่าน ได้ที่เว็บไซต์แพทยสภา www.tmc.or.th หัวข้อตรวจสอบแพทย์

3. ปัจจุบันมีความเชี่ยวชาญ ที่ได้รับวุฒิบัตรและบัตรอนุมัติ ตามกฎหมาย 94 สาขา (2567) เป็นสาขาหลัก 41 สาขา และอนุสาขา 53 สาขา ภายใต้อนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ ของราชวิทยาลัยและสมาคม (ตามเอกสารแนบ) โดยมีระยะเวลาการ อบรม ตั้งแต่ 3-5 ปี ในสาขาหลัก (สีฟ้า) และเรียนต่ออนุสาขา เพิ่มอีก 2 ปี (สีดำ) ปัจจุบันมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กว่า 40,000 คนจากแพทย์ทั่วประเทศ 76,000 คน โดยจบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญปีละกว่า 2,000 คน

4. การอบรมระยะสั้นหรือฝึกอบรมโดยสถาบันวิชาการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่ไม่ได้รับการรับรองโดยแพทยสภา เป็นการอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ นั้น แม้ได้รับประกาศนียบัตรจากองค์กร ไม่สามารถใช้คำว่า เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะสาขาหรือผู้เชี่ยวชาญตามกฎหมายได้ เช่นเดียวกับแพทย์ จะโฆษณาว่าทำมานานจำนวนมากรายแล้วจะโฆษณาเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ ต้องผ่านการอบรมมาตรฐานเท่านั้น

5. การอ้างเป็นผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาหรือผู้เชี่ยวชาญถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ทั้งข้อบังคับ จริยธรรมแพทยสภา และ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม ดังนี้ 5.1 กรณีเป็นแพทย์จะผิดข้อบังคับจริยธรรม ถูกตั้งคณะกรรมการจริยธรรม สอบสวนข้อมูล และมีมติกรรมการแพทยสภาลงโทษ มีโทษตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาตจนถึงเพิกถอนทะเบียน ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งอยู่ในอำนาจแพทยสภา และมีลงโทษแทบทุกเดือน 5.2 ผิดกฎหมายเป็นคดีบ้านเมืองต่อจาก คดี 5.1 คือผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 28 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 44 คือจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหากมีความเสียหาย ต่อผู้ป่วยจะเป็นคดีแพ่งและอาญาต่อไป จะเป็นการดำเนินคดีโดยตำรวจ หลังผิด 5.1

6. ดังนั้นการอ้าง หรือโฆษณาต่อประชาชน ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ 1 ใน 94 สาขา โดยไม่ได้จบการศึกษาจริง ถือเป็นความผิด และการอ้างสาขา ความเชี่ยวชาญที่ไม่ได้อยู่ใน 94สาขาตาม กฎหมาย โดยตั้งขึ้นใหม่ ตามประสบการณ์ตนเอง เพื่อประโยชน์ ในการโฆษณา เป็นความผิดเช่นกัน เช่นผู้เชี่ยวชาญด้าน ความงาม ผิวพรรณ ร้อยไหม ปรับโครงสร้างใบหน้า ฯลฯ ซึ่งมีผู้แจ้ง เป็นเรื่องร้องเรียนและดำเนินคดีกันทุกเดือน ถ้าพบเห็นส่งหลักฐานแจ้งทางเว็บไซต์แพทยสภาได้ครับ

7. ในการประชุมแพทยสภา ครั้งที่ 7 วันที่ 11 ก.ค. 2567 ได้มีมติให้ตรวจสอบคุณวุฒิแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายในโฆษณา รวมถึง ตรวจสอบความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของวุฒิสมาชิก ที่ปรากฏในสื่อ หากไม่ถูกต้อง มีมติให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ

8. สำหรับสาขาที่มีการสอบถามจากประชาชนบ่อยครั้งว่าเป็นสาขาเชี่ยวชาญหรือไม่ เช่น ชะลอวัย ความงาม เสริมสวย เหล่านี้ ยังไม่อยู่ใน 94 สาขาความเชี่ยวชาญ ที่แพทยสภารับรองตามกฎหมาย จึงไม่สามารถใช้คำว่า เชี่ยวชาญด้านความงาม หรือ เสริมสวย หรือ ชะลอวัยได้ คุณหมอโปรดตรวจสอบและระมัดระวังด้วยครับ.