วันที่ 16 ก.ค. นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบ ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. …. ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวม 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จากเดิม 0.25% ต่อปี เป็นอัตรา 0.125% ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนออกไปอีก 1 ปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 67 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67–31 ธ.ค. 67 และกลับมาใช้อัตรา 0.25% ต่อปีสำหรับรอบการนำส่งเงินตั้งแต่ปี 68 เป็นต้นไป
สำหรับการขยายระยะเวลาดังกล่าวสืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจุบันเริ่มคลี่คลายลง และสภาวะเศรษฐกิจได้เริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ยังคงส่งผลต่อกลุ่มลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ประชาชนรายย่อยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่ยังอยู่ระหว่างฟื้นตัว และอาจไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ สถาบันการเงินเฉพาะกิจจึงเป็นกลไกสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจ และยังคงต้องให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ รมว.คลัง มีข้อสั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง จัดทำข้อเสนอโครงการหรือมาตรการใหม่ที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จะสามารถส่งผ่านการลดอัตราเงินนำส่งดังกล่าวเพื่อไปช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และกำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่งผ่านการลดอัตราเงินนำส่งไปช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ประชาชนรายย่อยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงลูกหนี้นอกระบบ
ด้านธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) มีความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจว่า ควรพิจารณาถึงความพอเพียงของสภาพคล่องในการดำเนินงานตามพันธกิจในอนาคต และควรมีกระบวนการติดตาม และประเมินผลการส่งผ่านความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจไปยังลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงว่าการปรับลดอัตราเงินนำส่งดังกล่าวถูกส่งผ่านไปเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรระมัดระวังไม่ให้เกิดการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบที่จะหยุดชำระหนี้ (moral hazard) เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อวินัยทางการเงินที่ดี