จากกรณี น.ส.อ้อ (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี เข้าขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว เพื่อให้สื่อสารถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้เข้าตรวจสอบสำนักฤๅษีแห่งหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 6 ต.ตะกุกเหนือ อ.วิภาวดี หลังถูกพ่อและแม่บังคับให้ไปรักษาโรคมะเร็งกับผู้ที่ใช้ชื่อว่าหมอพุทธ โดยระบุว่าวิธีการรักษา ได้ให้ตนเปลือยท่อนบน และใช้มือลูบไล้ไปตามร่างกาย แต่เมื่อตัดสินใจไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี กลับไม่พบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งตามที่หมอฤาษีคนดังกล่าวกล่าวอ้าง โดยล่าสุดมีผู้เสียหายเป็นหญิงวัย 50 ปี และเด็กหญิงวัย 12 ขวบ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม ต่อมาศาลจังหวัดไชยา ได้อนุมัติหมายจับ นายถาวร เหมือนแก้ว อายุ 47 ปี และนางวิภา เหมือนแก้ว (ภรรยา) อายุ 50 ปี ในข้อหา กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นและเป็นการกระทำโดยใช้อวัยวะอื่นซึ่งมีใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะของบุคคลนั้น แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ยังให้การปฏิเสธอ้างว่าเป็นการรักษาโรคตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น

บุกสำนักพ่อปู่ฤาษีนำ 2 ผัวเมียรักษาพิสดารสอบ พบด.ญ.อีก 2 รายตกเป็นเหยื่อ!

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. พนักงานสอบสวน สภ.วิภาวดี ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 มาสอบสวนปากคำเพิ่มเติม หลังจากที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 106 หมู่ 6 ต.ตะกุกเหนือ อ.วิภาวดี ซึ่งใช้ชื่อว่า สำนักร่างทรงยมราช บรมครูศิษย์อาจารย์ตาฤาษี พบหลักฐานมีการเปิดให้การรักษาผู้ป่วยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้กล่าวโทษความผิด เปิดประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ซึ่งไม่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน สภ.วิภาวดี จะนำตัวผู้ต้องหา 2 ผัวเมีย ส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดไชยา โดยไม่อนุญาตให้มีการประกันตัวในชั้นสอบสวน

ทางด้าน พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.จว.สุราษฎร์ธานี ได้กำชับให้ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล และดำเนินคดีในทุกความผิดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกันเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน เนื่องจากเชื่อว่าจะยังมีผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออีกจำนวนหนึ่ง และได้ประสานเร่งรัดนำเด็กหญิง ซึ่งเป็นผู้เสียหายวัย 12 ขวบ เข้าสู่กระบวนการสอบสวนปากคำด้วยสหวิชาชีพ เพื่อจะได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาทั้ง 2 โดยเร็ว

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายโพธิ์ รักเจริญ อายุ 58 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 9 ต.ตะกุกเหนือ อ.วิภาวดี จ.สุราษฎร์ธานี ว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา ภรรยาของตน คือ นางบังอร อายุ 54 ปี ที่ป่วยเป็นมะเร็ง และไปรับการรักษากับหมอฤาษีจนเสียชีวิต

โดยนายโพธิ์ เล่าว่า กล่าวว่า เดิมภรรยาของตน เป็น อสม. ที่ อ.วิภาวดี มีการตรวจเช็กร่างกายตลอด แต่ต่อมาพบก้อนเนื้อที่เต้านมหลังจากไปตรวจหมอบอกว่ามีเชื้อมะเร็ง จึงได้ทำการรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี มาตลอด แต่เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา หมอได้เลื่อนนัด แต่ภรรยาบอกว่ามีอาการเจ็บที่เต้านมมากกว่าปกติ จึงถูกชักชวนจากยายของเด็กหญิงวัย 12 ขวบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหมอฤาษี ให้ไปรักษากับหมอฤาษีโดยเสียค่าใช้จ่ายวันละ 100 บาท และต้มยาหม้อละ 3,000 บาท จนภรรยาของตนหลงเชื่อและเข้ารับการรักษา แม้ว่าตนจะพยายามทักท้วง แต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งรักษาได้ประมาณ 2 เดือน เต้านมได้อักเสบและมีน้ำเหลืองไหลออกมา อาการรุนแรง ตนจึงได้นำตัวภรรยาส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิต เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา

นายโพธิ์ ระบุด้วยว่า หลังภรรยาเสียชีวิต หมอฤาษีได้ทวงค่ารักษา โดยอ้างว่าภรรยายังคงติดค้างอยู่ ที่ผ่านมาตนทราบว่ายังมีผู้หลงเชื่ออีกหลายราย มาทำการรักษากับ 2 ผัวเมีย หลังจากนี้ตนจะได้ปรึกษาผู้รู้เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป.