เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานอุปถัมภ์ โครงการบรรพชาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดสุวรรณวิจิตร จ.สุรินทร์ ได้ถวายปัจจัยพระบวชใหม่รูปละ 10,000 บาท จำนวน 334 รูป เป็นเงิน 3.34 ล้านบาท ทั้งนี้ ถ้าสังเกตถึงความเคลื่อนไหวของนายทักษิณจากการเดินทางในครั้งนี้ จะพบว่านายทักษิณต้องการลงพื้นที่ไปพบมวลชน มากกว่าการร่วมงานบรรพชาอุปสมบท เพราะเวลาส่วนใหญ่อยู่กับมวลชนมากเป็นพิเศษ ซึ่งเห็นได้จากกิจกรรมนอกจากพิธีบรรพชาอุปสมบทในวัดแล้ว นายทักษิณมีโปรแกรมพบปะกับมวลชนและแกนนำทางการเมืองทั้งสิ้น

นายเศรษฐา ระบุอีกว่า สิ่งที่นายทักษิณได้จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากจะได้บุญกุศลจากการอุปสมบทของนาคจำนวน 334 คน และพบกับมวลชนฐานการเมืองของพรรคเพื่อไทยแล้ว แต่เกิดภาพด้านลบเช่นกัน เห็นได้จากกรณีที่โลกโซเชียลแชร์ภาพที่นายทักษิณนั่งอยู่บนเก้าอี้บนพรมสีแดงเพียงคนเดียว ขณะที่พระภิกษุที่บวชใหม่ นั่งอยู่บนพื้นใกล้ๆ ที่นั่งของนายทักษิณ ซึ่งในสื่อโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ตนคิดว่าถ้านายทักษิณมีจิตกุศลอย่างแรงกล้าจริง ก็อยากแนะนำให้นายทักษิณสร้างบุญครั้งใหญ่มากกว่าการทำบุญใหญ่แค่เป็นประธานโครงการบรรพชาอุปสมบท และทำบุญด้วยเงินจำนวน 3.34 ล้านบาท นั่นคือการเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ซึ่งการที่นายทักษิณประกาศว่าหลังพ้นจากสภาพความเป็นนักโทษในเดือน ส.ค.นี้แล้ว จะได้ช่วยเหลืองานของรัฐบาลและประเทศนั้น ตนเห็นว่าสิ่งแรกที่นายทักษิณน่าจะทำ คือการเข้าพิธีบวชล้างกิเลส และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบ้านเมืองที่ตัวเองเคยได้ทำความผิดไว้ ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลายคดี

“ถ้าคุณทักษิณตัดสินใจบวชจริง จะขออนุโมทนาบุญด้วย จะเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ และขอตั้งฉายาหรือชื่อตามภาษาบาลีให้ว่า ทักษิโณภิกขุ หรือทักษิณานุปทาโนภิกขุ ให้เลือกใช้ ส่วนฉายาไหน ที่เป็นสิริมงคลต่อชีวิต และไม่เป็นกาลกิณี ก็พิจารณาได้ตามความเหมาะสม” นายเทพไท ระบุ