สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ แถลงจากห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เรียกร้อง “การลงอุณหภูมิของความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ”


ไบเดนกล่าวว่า กามีจุดยืนและความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ควรถือว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู เนื่องจากทุกคนเป็นอเมริกันชนเพื่อนร่วมชาติ และต้องสามัคคีกัน ดังนั้น “การเมืองไม่ใช่สนามรบที่ถึงขั้นต้องเข่นฆ่าเอาชีวิต” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือสัญญาณว่า ทุกคนต้องถอยคนละก้าว แล้วกลับมาครุ่นคิดทบทวนให้ละเอียดอีกครั้ง ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร


ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐเน้นย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทรัมป์ “ต้องไม่เกิดขึ้นอีก” และยอมรับว่า “การสร้างความสมานฉันท์ในอเมริกาเป็นเป้าหมายที่เข้าใจยาก” แต่ไบเดนยกเนื้อหาจากแถลงการณ์ของกลุ่มบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ คือนายจอร์จ วอชิงตัน นายจอร์จ อดัมส์ นายเบนจามิน แฟรงคลิน นายโธมัส เจฟเฟอร์สัน นายเจมส์ เมดิสัน นายอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน และนายจอห์น เจย์ ว่า “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการยืนหยัดเคียงข้างกัน”


ด้านสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ยืนยันว่า นายโธมัส แมทธิว ครูกส์ วัย 20 ปี คือผู้ก่อเหตุ และลงมือเพียงคนเดียว โดยหลังยิงกระสุนไปเฉียดที่ใบหูด้านขวาของทรัมป์ ระหว่างกำลังปราศรัยอยู่บนเวที ที่เมืองบัตเลอร์ ในรัฐเพนซิลเวเนีย สไนเปอร์ของซีเครต เซอร์วิส วิสามัญคนร้าย ซึ่งอยู่บนดาดฟ้าของอาคาร ที่อยู่ห่างจากเวทีปราศรัยประมาณ 125 เมตร


ทั้งนี้ แรงจูงใจของคนร้ายยังคงคลุมเครือ แต่คำให้การจากหนึ่งในเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของมือปืน กล่าวว่า ครูกส์เป็นคนเงียบ และเคยถูกรังแก.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES