ทำเอาหลายคนฮือฮามาก สำหรับเรื่องราวของพระเอกดัง “เฟิสท์ เอกพงศ์” ที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว แถมในขณะนี้กลับมีกระแสมาแรงในชั่วข้ามคืนที่ทำให้สาววายกรี๊ดกันเป็นแถว เพราะเคมีของ เกี๊ยก-เฟิสท์ เข้ากันมาก จนทำให้เกิดกระแสแรงมากในช่วงนี้ เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตหนุ่มเฟิสท์เลยก็ว่าได้

ล่าสุด หนุ่มเฟิสท์ ออกมาเปิดใจ ผ่านรายการคุยแซ่บShow ทุกประเด็น โดยหนุ่มเฟิสท์ได้เล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นของการผันตัวมาเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวว่า

“ชื่อร้านก๋วยเตี๋ยวร้อยล้านไม่ได้หมายความว่าผมขายได้ร้อยล้าน แต่มันเป็นเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ เหมือนเป็นเป้าหมายของธุรกิจเรา ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนเราจะได้รู้ว่าทำยังไงให้มันไปถึง ส่วนหลายคนที่ถามว่าการที่ไปขายก๋วยเตี๋ยวเป็นเพราะวางแผนที่จะเกษียณหรือถอยหลังออกจากวงการบันเทิง ไม่จริงเลย ยังไม่คิดออกจากวงการบันเทิงเลย เรายังแฮปปี้มีความสุขในวงการอยู่ อยู่มาตั้งนานแล้วก็อยากจะอยู่ต่อและต่อๆ ไป”

ทำไมต้องเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ ซึ่งหนุ่มเฟิสท์ก็เล่าต่อว่า “เพราะว่ามันเป็นจังหวะมากกว่าคือที่บ้านทำอาหารทานเองแล้วช่วงโควิดเป็นช่วงที่ไม่ได้ออกไปไหน บางทีก็ทำอาหารเผื่อเพื่อน เผื่อเพื่อนบ้าน แล้วก็ทำขายในหมู่บ้าน เราก็ลองทำขายดู จากหมู่บ้านเราก็ไปหมู่บ้านอื่น ก๋วยเตี๋ยวเรือเราได้รับฟีดแบ็กดี ส่วนมีคนให้สมญานามว่า พระเอกสู้ชีวิต มันขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันเหมือนเป็นโอกาสอีกช่องทางหนึ่งของผมดีกว่า ผมก็เลยลองทำดู เผื่อมันจะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งหรือมันจะเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เราจะมีชีวิตดีขึ้น คนก็เมาท์เป็นเพราะเราขาลงหรือเปล่า เราเลยต้องหาอาชีพซัพพอร์ต เดี๋ยวนี้มันมีอาชีพหลากหลาย เขาจะชอบพูดว่าอาชีพเดียวไม่พอนะ มันก็จริงถ้าในยุคสมัยนี้ แล้วถ้าเรามีอาชีพสำรองที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ไป ยิ่งเรามีช่องทางหลายช่องทาง ความเสี่ยงก็จะลดลง ผมว่าเป็นเรื่องอะไรที่ดี ใครมีอะไรทำก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี”

“ผมอยู่ในวงการมาแล้ว 15 ปี กว่าจะตัดสินใจเข้าวงการ ตอนนั้นผมเรียนวิศวะที่เชียงใหม่ แล้วพี่เอมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น น่าจะเห็นผมตั้งแต่สมัยเรียน พอจบปี 4 มาทำงานในโรงงาน ไม่ถึงขนาดไซต์งาน แล้วเขาก็โทรฯมา “น้องเฟิสท์นี่พี่เอนะ สนใจเข้าวงการมั้ย” ด้วยความที่ผมเด็กบ้านนอกไม่รู้อะไรเลยแล้วก็เรียนวิศวะ ทีวีก็ไม่ค่อยได้ดู แล้วให้เรามาทำงานในวงการ คืออะไร แล้วเราต้องทำยังไง เรารู้แค่ว่าถ้าให้ผมไปทำงานวิศวกรผมทำได้ ก็บอกพี่ผมยังไม่ไป แกก็โทรฯ ชักแม่น้ำทั้งห้าเลย ระยะเวลาผมไม่แน่ใจ เรียกได้ว่าทาบทามเกือบๆ ปี”

เฟิสท์ก็เล่าต่อถึงสาเหตุที่ทำให้เฟิสท์ตัดสินใจลองเข้าวงการว่า “หลายอย่าง พอเราทำงานไปซักพักนึงเราก็เริ่มมองหาว่าถ้าเราทำงานนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจะเป็นยังไง เราก็ดูคนที่ก้าวหน้ามากกว่าเราหรือเรามีงานอื่นที่ทำมันจะดีมั้ย บวกกับได้คุยกับที่บ้าน คุยกับเพื่อน มีอยู่คำหนึ่งคือเขาบอกว่าก็ลองดูดิมันก็เป็นโอกาสนะ คนอื่นอาจจะอยากจะเข้าไปแต่ไม่มีโอกาสนะ เออจริงว่ะ เรามีโอกาสแล้วลองซักหน่อยดีมั้ย และนี่คือ 1 ประโยคที่พลิกชีวิตเลย มันไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าไม่ได้ก็กลับมาทำงาน”

“พอเราเข้ามาอยู่ในวงการ มันมีอยู่หนึ่งคำว่า “ฟังให้ได้ยิน” คือแรกๆ คือเด็กวิศวะเหมือนกัน อยู่ดีๆ จับเด็กวิศวะมาเล่นละครจากตรรกะแล้วก็มาเป็นศิลปะ มันคนละด้านเลย แล้วผมก็ไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ที่ของผม ให้ผมมาเล่นละคร ตอนนั้นได้เรียนแอ๊คติ้งนิดเดียวมากหลายคนชอบสอนเวลาเล่นละครเราต้องมีรีแอ็คกับคนที่เล่น เราต้องฟังเขาให้ได้ยิน ผมอ่ะงงกับคำนี้มากเลย เพิ่งมาเก็ตตอนหลังๆนี่เอง ตอนนั้นแค่ฟังอย่างเดียวไม่ได้รู้สึก พอเราเล่นมาซักเรื่องสองเรื่องสามเรื่อง อ๋อ เข้าใจละ การฟังให้ได้ยินมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

“ส่วนในเรื่องการปรับตัวก็ปรับเยอะ เยอะมาก สมัยก่อนเป็นคนไม่มีจินตนาการไม่มีอะไรเลย ซึ่งผมเล่นละครน่าจะ 2-3 เรื่องกว่าจะเข้าที่เข้าทางกับการเล่นละคร ซึ่งนักแสดงที่เข้ามาใหม่ๆ จะได้ฉายาว่า เดอะร็อก ต้นไม้ ก็เรามีคนแซว ส่วนใหญ่เพื่อนๆ แซว ที่บ้านก็แซว เล่นเป็นก้อนหินเหรอ พอผ่านไป 15 ปีเคยมีท้อไม่อยากอยู่แล้ววงการบันเทิง แต่ตอนนี้ไม่มี แต่สมัยก่อนมี ซึ่ง 3-4 ปีแรกเราคิดว่าเราไม่เหมาะด้านนี้เลย เหมือนเราทำอะไรก็ไม่ถูก แล้วอีกอย่างผมก็ตัวคนเดียวไม่ค่อยได้ปรึกษาใคร คิดวนของมันไปเอง คิดจนขนาดที่ว่าอาชีพนี้มันไม่โอเคหรือเปล่า  โทษโน่นโทษนี่ อาชีพนี้มันไม่ค่อยมั่นคงหรอก เต้นกินรำกิน ไปทำอาชีพอื่นดีกว่ามั้ย บางทีไปกองแล้วช่วงนั้นเป็นเด็กใหม่บางทีก็โดนว่าบ้าง โดนกดดันบ้าง ก็ท้อ บางทีเล่นไม่ได้ ช่วงนั้นผมถ่ายกี่เทคไม่รู้ แต่ก็เป็นสิบ จริงๆ คนรอบข้างเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่เรานี่แหละแค่ไปมองหน้าเขา เขาต้องไม่ชอบเราแน่เลยเราสร้างปัญหาโน่นนี่นั่นหลายสิ่ง ขับรถกลับบ้าน ทำไมวันนี้เป็นแบบนี้”

“เรื่องจุกที่สุดเหรอ จำไม่ได้ เยอะจนจำไม่ได้ บางเรื่องเฟลเลยนะ คิดแค่ ณ ทำงานตอนนั้นมันเซ็ง มันเฟล ที่บ้านก็สอนอดทนลูก อดทน สมัยก่อนชอบสอน อดทนลูก อดทน เราก็ฝ่าฟันทน ทนจนมันอยู่ถึงทุกวันนี้ ฉากแรกที่เล่นเล่นกับ มี๊ พิศมัย โอ้โหฉากแรก มี๊ พิศมัย แต่มี๊น่ารักมาก มี๊คุยด้วยมี๊บอกว่าปกติมี๊จะเข้าไปคุยกับนักแสดงใหม่ๆ ก่อนอยู่แล้ว เพราะมี๊เข้าใจว่าหนูๆ ไม่กล้ามาคุยกับมี๊หรอก มี๊ก็น่ารัก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ เราก็กดดันอยู่ดี (หัวเราะ) บางวันผมไม่อยากตื่นมากองอีกเลย ถ้าถามว่าผมผ่านตรงนั้นมาได้ยังไง ผมว่าส่วนหนึ่งต้องอาศัยความอดทนแล้วอาจจะต้องเป็นพวกคำปรึกษาจากคนรอบข้างแล้วสุดท้ายมันต้องเป็นตัวเราต้องเอามาคิดเอง แล้วก็เอามาตกผลึกเองจริงๆ แล้วสิ่งที่เราทำอยู่มันโอเคมั้ย มันดีมั้ย เราควรจะทำมันต่อไปมั้ย ตอนนั้นผมก็คิดว่าอาชีพนี้มันก็เลี้ยงผมมาได้จนถึงทุกวันนี้นะ มันคืออาชีพหลักของผม 15 ปีผมว่ามันเป็นอาชีพที่เราได้เจอผู้คนเยอะ แล้วเราก็ได้โอกาส คือผมได้โอกาสจากอาชีพนี้เยอะมาก”

“ส่วนล่าสุดมีกระแสคู่จิ้น ไปเล่นกับระบบสายวายได้ยังไง ผมชอบท้าทายระบบครับ (หัวเราะ) อันนี้ก็งงมาก เพราะว่าจากละครเรื่องหนึ่งเล่นด้วยกันน้อยมาก ไม่กี่ฉากเองที่เข้าด้วยกัน แต่มีอยู่ฉากหนึ่งมันเป็นฉากที่เหมือนกับเราได้มองกันแล้วถามว่า เป็นยังไงบ้าง จำพี่ได้มั้ย ไม่ได้เจอกันมานาน แล้ววันนั้นก็ดูละครอยู่นะก็เริ่มมีเพื่อนส่งมาให้ดู ซักพักเกี๊ยกก็มาเลย พี่ๆ ฉากเราอยู่ในออนไลน์เต็มเลย ก็เลยเข้าไปดูก็แปลกใจ มันเยอะมาก แล้วคนเอาไปตัดโน่นนี่นั่น เราก็ไปนั่งดู เราก็เพิ่งเริ่มเข้าใจ เข้าใจว่าเขาจิ้นอะไรกันแบบนี้ ซึ่งเวลามองตาคุณเกี๊ยก รู้สึกมันจะขำอยู่ตลอดเวลา (หัวเราะ) เกี๊ยกเขาน่ารัก เขาเป็นน้องที่น่ารัก เราก็เจอกันมานาน เจอกันตามงานช่อง มีเล่นละครด้วยกันแต่ไม่ได้เข้าด้วยกันเยอะมาก มีด้อมเขาอยากให้ทำคอนเทนต์กันหวานๆ ก็ตอนนี้ก็ไปทำกันอยู่ ส่วนแฟนคลับเขาฟินกันก็หลายเบอร์อยู่นะ ส่วนงานคู่มาหรือยัง ยังไม่มาแต่รอติดต่ออยู่นะครับ ถ้าเกิดลูกค้าอยากจ้างให้ไปยืนจ้องตากัน ได้ๆ นะครับ แค่จ้องตาเหรอครับ จ้องตาก็พอแล้ว ถ้าเกี๊ยกดูผมอยู่ เดี๋ยวนัดกัน แต่แปลกใจอย่างหนึ่งมีแฟนคลับเขาไปขุดมา ผมเพิ่งรู้ว่าผมกับเกี๊ยกเจอกันมานานมาก เจอกันงานโน้นงานนี้เยอะมาก แต่มันนานมากจนเราจำไม่ได้”

“ส่วนเรื่องกระแสคู่จิ้นดีเว่อร์ ภรรยาตัวจริงว่ายังไงเหรอ ก็คือตอนแรกอยากรู้เหมือนกันเขาคิดยังไง เมื่อเช้าเพิ่งถาม หมูๆ เขามีคู่จิ้นรู้สึกยังไงอะ หันมาถามว่าคู่จิ้นคืออะไร สบายใจแล้ว ไม่รู้แล้ว แต่งงานกันมา 6 ปีแล้ว มีพยานรัก 1 คน มีทะเลาะบ้าง จริงๆ ผมสองคนไม่ค่อยเหมือนกันเลย เหมือนคนละขั้วกันเลย เมื่อก่อนคือทำงานด้วยกันไม่ได้ทะเลาะกัน คนหนึ่งพูดจะไม่ค่อยพูดเข้าหูอีกคนหนึ่ง แต่หลังๆ ก็ดีขึ้น เหมือนเราพยายามปรับ พยายามฟังเขามากขึ้น เขาก็พยายามฟังเรามากขึ้น แล้วก็ค่อยๆ คุยกัน พยายามใจเย็นๆ ส่วนเรื่องที่ไม่พาภรรยาออกสื่อ คือจริงๆ ไม่ได้ปิดอะไรเลย ไปไหนก็ไปด้วยกันไปกับลูก แต่เขาไม่ได้มายุ่งเรื่องงาน เขาก็งานเยอะ ต่างคนต่างทำงานมากกว่า ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย ซึ่งตอนนี้ลูกชายห้าขวบเหมือนผมมาก บางทีนิสัยอะไรบางอย่างผมกลับมานึกถึงนิสัยผมตอนเด็กๆ คล้ายๆ ผมเลย ตอนนี้เหมือนมีโลกส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง จริงๆ อยากพาลูกไปกอง อยากให้เค้าไปเจอคน ให้เห็นว่ามันมีงานแบบนี้ เคยพาไปแล้วสองครั้ง ไม่ชอบ ถามว่าทำไมน้องภามไม่ชอบมาทำงานกับพ่อ เขาบอกว่าไม่ชอบคนมายุ่งกับน้องภาม”

“ถ้าถามว่าจะพาเข้าวงการมั้ย ไม่ได้ให้เขาต้องเข้าวงการ อย่างที่พาไปกองก็แค่อยากให้เขาได้เรียนรู้ แต่ถ้าวันหนึ่งเค้าอยากจะเป็นก็พร้อมซัพพอร์ต ถ้าไม่อยากเป็นก็แล้วแต่เขาเลย ไม่ได้บังคับอะไรเอาที่เขาชอบ อย่างเรื่องเรียนก็ไม่ได้บังคับนะว่าต้องเรียนเก่งๆ ถ้าเขาอยากเรียนอะไร เช่น อยากเรียนเทควันโด อยากเรียนตีแบด เดี๋ยวซัพพอร์ต แล้วสุดท้ายให้เขาไปคิดของเขาเองอยากทำอะไรก็ทำ เรามีหน้าที่คอยสนับสนุน แล้วก็ดู สอน ให้เค้าอยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำในสิ่งที่ถูกต้อง”

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก first_ekkaphong