ปี ค.ศ. 2024 นี้นับว่าครบรอบปีที่ 112 ที่เรือสำราญสุดหรู “ไททานิก” ประสบอุบัติเหตุจนจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อปี ค.ศ. 1912 ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 1,517 คน กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่โลกลืมไม่ลง 

แม้จะมีผู้เสียชีวิตในจำนวนหลักพันและมีหลักฐานว่าผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่จำนวนมากยังคงติดอยู่ในเรือขณะที่จมลงท่ามกลางน้ำทะเลที่เย็นจัดเพราะอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่ความลึก 3,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่กลับไม่เคยมีทีมสำรวจทีมไหนเคยพบศพมนุษย์หรือแม้แต่โครงกระดูกของผู้เสียชีวิตในซากเรือไททานิกเลยแม้แต่ร่างเดียว

สาเหตุสำคัญก็คือแบคทีเรียในทะเลที่ระดับน้ำลึกมาก ๆ นั้นสามารถย่อยสลายสารอินทรีย์หรือก็คือเนื้อหนังของผู้เสียชีวิตออกจากโครงกระดูก 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้แม้แต่กระดูกของผู้เสียชีวิตก็ยังไม่มีเหลือนั้น ก็เนื่องมาจากองค์ประกอบทางเคมีของน้ำทะเลที่จะเปลี่ยนแปลงตามระดับความลึกเป็นตัวการสำคัญ

โรเบิร์ต บัลลาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจทะเลลึกซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นพบซากเรือไททานิกในปี ค.ศ. 1985 อธิบายว่า น้ำทะเลที่อยู่ลึกลงไปจนถึงระดับหนึ่งนั้น สามารถสลายกระดูกมนุษย์ได้ เพราะน้ำทะเลที่อยู่ลึกมาก ๆ จะอยู่ในสภาพที่พร่องสารแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของน้ำทะเล ไม่เหมือนน้ำทะเลที่อยู่ด้านบนที่ผิวน้ำจะอิ่มตัวด้วยสารนี้

เนื่องจากสารแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกคนและสัตว์ ดังนั้น เมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่ตายหรือตกเป็นเหยื่อของผู้ล่าและโดนกินเนื้อหนังจนหมด เหลือแต่กระดูก น้ำทะเลก็จะทำให้ชิ้นส่วนกระดูกละลายหายไปกลายเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำทะเล

สภาพรองเท้าสตรีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในซากเรือไททานิกที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก

แต่ถึงแม้จะไม่พบซากชิ้นส่วนใด ๆ ที่บ่งบอกว่าเคยมีคนจำนวนมากที่จมลงพร้อมกับเรือไททานิก ทีมสำรวจกลับยังคงพบเห็นข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ หลายชิ้นที่ยังคงทนทานต่อการกัดกร่อนของน้ำทะเลลึก เช่น รองเท้า, เครื่องประดับ เป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยมีชีวิตอยู่บนเรือแห่งโศกนาฏกรรมลำนี้

ที่มา : unilad.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES