เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 11 ก.ค. ร.ต.ท.สิขเรศ โมรา รอง สว.(สอบสวน) สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี รับแจ้งเหตุยิงกันตาย บนถนนในหมู่บ้านกะเหรี่ยง หุบกะพง ซอย 3 ฝั่งตะวันตก หมู่ 8 ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.สมเกียรติ โฉมฉาย ผกก.สภ.ชะอำ แพทย์เวร รพ.ชะอำ พิสูจน์หลักฐานจังหวัดเพชรบุรี และ เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างสรรเพชญ

ที่เกิดเหตุพบรถกระบะอีซูซุ สีชมพู แต่งซิ่ง ทะเบียน บธ 7826 เพชรบุรี สภาพพุ่งชนป้ายโครงการทำถนนเสียหาย ตรวจสอบภายในรถพบผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย ทราบชื่อ นายธวัชชัย (นายไผ่) เจี้ยมดี อายุ 24 ปี ชาว ชะอำ เพชรบุรี สภาพถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงเข้าศีรษะนอนเสียชีวิตอยู่ฝั่งคนขับ บริเวณกระจกหน้ารถพบรอยกระสุนปืนทะลุกระจก 1 นัด จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยในที่เกิดเหตุยังพบนายเคน และ นายกอล์ฟ (สงวนชื่อสกุลจริง) เพื่อนผู้ตายที่นั่งมาในรถด้วยยืนรอให้การตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยอาการตื่นตระหนก

สอบถามเพื่อนผู้ตายทั้งสอง เบื้องต้นให้การว่า ผู้ตายเป็นพ่อค้าขายของทะเลทอดริมหาดชะอำ ส่วนคนร้ายก็เป็นนายวิวัฒน์ชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ซึ่งก็รู้จักกับผู้ตายดี ก่อนหน้านี้เคยน้ำมันรถหมดยืมเงินผู้ตายไป 200 บาท เพื่อเติมน้ำมัน แต่หลังจากนั้นก็ทำเฉยไม่ยอมคืน ผู้ตายทวงถามหลามครั้งก็มักจะมีปากเสียงทะเลาะกันตลอด ก่อนเกิดเหตุพวกตนกับผู้ตายนั่งรถกระบะออกมาจากซอยที่เกิดเหตุ 3 คน พอมาถึงปากซอย ถูกนายวิวัฒน์ชัย ใช้ปืนยิงใส่หน้ารถ 1 นัด ถูกผู้ตายแล้วหลบหนีไป พวกตนจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านใกล้เคียงพอกลับมาที่รถพบว่าเสียชีวิตแล้ว จึงแจ้งตำรวจตรวจสอบดังกล่าว

จากคำให้การเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบว่า นายวิวัฒน์ชัย เป็นชาว จ.ลำปาง มาทำงานในพื้นที่ชะอำ จึงกระจายกำลังออกตามล่าตัวทันทีตามที่พักบ้านเพื่อนและสถานที่ต่างๆที่เคยไป เพื่อกดดัน จนต่อมา นายวิวัฒน์ชัย ทนการกดดันของตำรวจไม่ไหวเดินทางเข้ามอบตัวที่ สภ.ชะอำ เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า ได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีทะเบียนยิงนายธวัชชัย จนเสียชีวิตจริงหลังก่อเหตุได้ทิ้งอาวุธปืนไว้ข้างถนนระหว่างหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปชี้จุดตรวจสอบเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมแจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา มีอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตไว้ในครอบครองและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้อนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะและยิงปืนในที่สาธารณะโดย ไม่มีเหตุอันควร ก่อนนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป