จากข่าวอื้อฉาวสะเทือนแวดวงการศึกษากรณี น.ส.วิไลลักษณ์ ใชยชาญ อายุ 42 ปี หรือ “ซ้อลักษณ์” นักธุรกิจสาวเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสกลนคร กล่าวหา น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง หลอกลวงแอบอ้างขายวุฒิการศึกษาปริญญาตรีในราคา 200,000 บาท หลงเชื่อจ่ายเงินไปแล้วแต่ยังไม่ได้วุฒิการศึกษา นอกจากนี้ยังมีการแอบอ้างซื้อขายตำแหน่งในรัฐสภาราคา 60,000 บาท ต่อมา “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ชี้แจงว่าไม่เป็นเรื่องจริงทั้งซื้อขายวุฒิการศึกษาและตำแหน่งในรัฐสภา เตรียมรวบรวมหลักฐานฟ้องกลับ ที่พลาดไปเพราะรักและหวังดีกับเพื่อนกลับถูกบิดเบือนจนเสียหาย ส่วนมหาวิทยาลัยพิษณุโลกตั้งโต๊ะแถลงยืนยันไม่มีการซื้อขายวุฒิการศึกษา ขณะที่นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ที่ถูกนำชื่อไปแอบอ้าง ให้ทีมกฎหมายไปลงบันทึกประจำวันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากมีการเอาชื่อตำแหน่งไปหาประโยชน์จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม  นายชาญชัย ฉายบุ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม  พร้อมด้วยซ้อลักษณ์  ผู้เสียหาย และ น.ส.ปุ๊กกี้ ได้เดินทางนำหนังสือมายื่นต่อคณะผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลก นำโดย  ดร.มานพ เกตุเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยพิษณุโลก  นายชาตรี จำลองกุล นิติกรมหาวิทยาลัยพิษณุโลก พร้อมด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลก รวมถึงร่วมกันประชุมหารือข้อเท็จจริง และตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงกรณีซื้อขายวุฒิการศึกษา และทวงถามเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร่วมขบวนการซื้อขายวุฒิว่ามีมากกว่า 1 คน หรือไม่

ด้านของซ้อลักษณ์ ได้ยกมือกราบขอโทษทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทางด้านของทนายทางฝั่งผู้เสียหายได้พูดชี้แจงว่าเพื่อเป็นการเคลียร์ข้อเคลือบแคลงสงสัยทางสังคม เพราะถ้าหากมีขบวนการผู้ร่วมกระทำความผิดซื้อขายวุฒิการศึกษา ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเป็นอย่างมาก

ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม  กล่าวว่า ได้พานักศึกษาเดินทางมามหาวิทยาลัยพิษณุโลก เป็นครั้งแรก หลังจากได้สมัครเป็นนักศึกษา  เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายวุฒิการศึกษา ว่ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เป็นเพียงอาจารย์ 1  ท่าน มีท่านอื่นหรือไม่อย่างไร ซึ่งคุณลักษณ์ เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยพิษณุโลก โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้มีการขยายผลเพิ่มเติมผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการขายวุฒิการศึกษาหรือไม่ อย่างไร ให้มหาวิทยาลัยชี้แจงถึงการตรวจสอบว่ามีอาจารย์และพวกจำนวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งทั้งหมดจะเป็นผลดีกับทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลกเอง หลังจากเกิดเรื่อง ปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยได้ส่งบัตรนักศึกษาเข้ามาในระบบออนไลน์  เชื่อว่าวันนี้ประชาชน ผู้ปกครอง สงสัยว่ามีผู้ร่วมขบวนการเพียง 1 ท่านจริงหรืออาจมีการขยายผลผู้ร่วมกระบวนการ  ทางมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในมหาวิทยาลัยว่ามีผู้กระทำความผิดมากน้อยเพียงใด

น.ส.วิไลลักษณ์   นักศึกษา ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนหลงเชื่อให้มาเป็นนักศึกษา เพื่อจะได้วุฒิการศึกษาปริญญาตรี ด้วยได้รับการชักชวนว่าจะได้ค่าตำแหน่ง 4-5 แสนบาทต่อเดือน จากคนในมูลนิธิฯ เบื้องต้นได้จ่ายเงินผ่อนจ่าย 3 งวด งวดละ 50,000 บาท 2 ครั้ง และครั้งสุดท้าย 30,000 บาท  แล้วจะได้วุฒิเลย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567  ได้เคยแย้งว่าผิดกฎหมาย ผู้ชักชวนอ้างว่าสามารถเคลียร์กับมหาวิทยาลัยได้ ว่าไม่มีปัญหา ตนเป็นเหยื่อเรื่องนี้

ขณะที่  ดร.มานพ เกตุเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยพิษณุโลก  กล่าวชี้แจงว่า ได้มีการสมัครเรียนตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง มีการส่งเอกสารหลักฐานเข้ามาที่มหาวิทยาลัยอย่างครบถ้วน พร้อมกับเงินค่าสมัครเรียนแรกเข้า 1,500 บาทและค่าเทอม 130,000 บาท ซึ่งทางมหาวิทยาลัย ได้รับนักศึกษาตามขั้นตอน 2 คำ คือ มาอยู่ไป  โดยนักศึกษาเมื่อมาสมัครเรียน ทางคณะกรรมการจะมีการประกาศรายชื่อเสร็จ นำชื่อเข้าสู่ระบบนายทะเบียน เมื่อมาอยู่กับเรา  จากนั้นส่งชื่อไปที่คณบดีแต่ละคณะ เมื่อรับหมดจะแยกไปตามหมวดการเรียนการสอน ทางคณะนั้นๆ นศ.ไปเรียนเป็นเวลา 3 ปี 3 ปีครึ่งหรือ 4 ปี หลังจากเรียนจบการศึกษาแล้ว ทางคณะกรรมการก็จะมาพิจารณาหลักสูตรว่าถูกต้องไหม ตรวจสอบว่ามีชื่อตั้งแต่แรกเข้าจริง จบจริง แล้วจะส่งชื่อไปที่ผู้บริหารวิชาการว่า รายชื่อเข้ามาตอนแรกรับ กับรายชื่อเมื่อจบตรงกันไหม  เข้า-ออก จะมีการตรวจรายชื่อว่าเข้ามาจริง ไม่มีการเรียนก็ไม่จบการศึกษา สุดท้ายนักศึกษาที่จบจะเสนอคณะสภามหาวิทยาลัยเพื่อให้จบการศึกษาอีกครั้ง โดยนักศึกษาที่จบแล้วจะต้องมีอาชีพ มีงานทำ มีความซื่อสัตย์ พอเพียง ไม่สร้างความขัดแย้ง สร้างศัตรูและเป็นคนดีของสังคม

หลังจากได้มีการเจรจาและสอบถามในเรื่องการซื้อขายวุฒิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซ้อลักษณ์ และทีมทนาย ต่างเข้าใจและเชื่อว่าทางมหาวิทยาลัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการซื้อขายวุฒิการศึกษา เป็นเพียงแค่ตัวบุคคลเท่านั้นและได้กล่าวขอโทษมหาวิทยาลัย ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมกันนี้ แจ้งความจำนงจะไม่ขอเรียนต่อ และขอทำเรื่องคืนเงินจำนวน 130,000 บาท ที่ทำการลงทะเบียนไว้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ได้ให้ซ้อลักษณ์ กรอกใบยื่นความจำนงลาออกจากการเป็นนักศึกษา และโอนเงินคืนให้ซ้อลักษณ์ ไปทั้งหมด  ซึ่งภายหลังจากได้รับเงิน ซ้อลักษณ์ บอกว่าจะนำเงินไปเป็นค่าเทอมลูกต่อไป