เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในกลุ่มเฟซบุ๊กสาธารณะของชาว จ.นครสวรรค์ มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Asma Nichanan โพสต์เรื่องราวประสบการณ์กรณีซื้อแมวพันธุ์ สฟิงซ์ มาจากเจ้าของคนหนึ่งในราคา 9 พันบาท แต่กลับได้แมวป่วยมาเลี้ยง อีกทั้งพาไปตรวจพบก้อนเนื้อในท้อง ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นก้อนเนื้ออะไร จึงติดต่อกับเจ้าของที่ขายแมวให้เพื่อขอเงินคืน พร้อมส่งแมวกลับไปรักษา แต่ปรากฏว่าถูกบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบ หนำซ้ำยังด่าหยาบคาย และข่มขู่ท้าทาย จึงนำเรื่องมาโพสต์เผยแพร่ในสังคมออนไลน์ เป็นอุทรหรณ์ โดยข้อความระบุว่า “ข้าราชการชุดสีกา ท่านหนึ่งได้ขายแมวป่วยให้หนู แล้วไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น แถมพูดคำหยาบใส่ แล้วพูดว่า ท้ากูหรอเดี๋ยวมึงได้รู้จักกูแน่ ทั้งๆที่ ไม่เคยพูดท้าอะไรเค้าเลย #ขอความช่วยเหลือจากทุกคนด้วยค่ะ หนูอยากได้เงินหนูคืนแล้วอยากให้เค้ารีบเอาแมวกลับไปรักษา เพราะตอนนี้แมวค่อนข้างจะเป็นเยอะ แล้วเค้าไม่ทำการติดต่อขอรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย”

ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อสอบถามไปยังเจ้าของโพสต์ ทราบชื่อคือ น.ส.ณิชานันท์ สิงจันทร์ อายุ 21 ปี เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ก่อนหน้านี้มีการพูดคุยกันเรื่องเลี้ยงแมวสฟิงซ์ กับคนสนิทคนหนึ่ง ที่เพิ่งแมวพันธุ์นี้จากญาติมาเลี้ยง เนื่องจากญาติซื้อมาเลี้ยง 2 ตัว แต่ไม่มีเวลา จึงขายให้ตัวหนึ่ง อีกตัวอยู่ช่วงเสนอขาย จึงทำให้รู้สึกสนใจ เลยให้ติดต่อขอซื้อ กระทั่งวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้มีการพากันไปดูแมวตัวดังกล่าวที่บ้านของเจ้าของ โดนมีแฟนตน และคนสนิทตนไปดูด้วยกัน แล้วไปสะดุดปิ้งถูกใจกับแมวสฟิงซ์ เพศเมียตัวนั้น อายุ 7-8 เดือน ชื่อ “หนูท่อ” จึงพูดคุยตกลงราคากัน ซึ่งเจ้าของได้เสนอขายแมวตัวนี้กับตนในราคา 12,000 บาท ก่อนจะมีการต่อลองขอลดจนเหลือ 9,000 บาท แต่ก่อนตอนซื้อขายคนสนิทได้มีการบอกก่อนว่า แมวสฟิงซ์ที่เลือก มันป่วยท้องเสียนะ จะเอาแน่ใช่ไหม ซึ่งตนก็ถามกลับไปยังเจ้าของให้แน่ใจว่า มันป่วยแค่ท้องเสียใช่หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าใช่ เขาเลี้ยงมากับมือ ไม่มีปัญหาอะไร จึงมองว่าไม่เป็นไร ถ้ามีอาการแค่ท้องเสียนิดหน่อย สามารถเอากลับมาให้หมอรักษาได้ จึงตกลงกลับมารอรับแมวอยู่ที่บ้าน

“ตอนที่หนูเข้าไปดูแมว เจ้าของเขาจะอุ้มเจ้าหนูท่อไว้ตลอดเวลา ไม่ให้หนูจับแตะต้องมันเลย และตอนที่ตกลงกันเรียบร้อย เขาก็รีบจับแมวใส่กรง แล้วขอให้หนูกลับมารออยู่ที่บ้าน เนื่องจากตอนนั้นฝนตกหนัก เขาจะขับรถเก๋งนำมาส่งให้ที่บ้านแทน และตอนที่เขาเอาแมวมาส่ง เขาก็ยังไม่ให้หนูจับ แต่ก็ได้บอกว่า แมวพันธุ์นี้มันเลือดอุ่น จะตัวอุ่นๆ หน่อยไม่ต้องตกใจ จากนั้น เขาก็เอาเจ้าหนูท่อที่อยู่ในกรงเอาไปวางให้ในบ้านเอง โดยที่หนูยังไม่ได้แตะต้อง เนื่องจากตอนนั้น ลูกหนูร้อง จึงไปอยู่เล่นกับลูกก่อน และกว่าที่หนูจะได้จับแมวตัวนี้ ก็ผ่านเวลาไปกว่า 1-2 ชัวโมง เมื่ออุ้มเจ้าหนูท่อมาอาบน้ำ ก็ปรากฏว่า คลำไปที่ท้องแล้วพบว่ามีก้อนเนื้อใหญ่ประมาณหนึ่งอยู่ในท้องของเจ้าหนูท่อ อีกทั้งยังดูมีอาการซึมๆ เหมือนป่วยไข้ และท้องเสียถ่ายเหลวมากกว่า 20 ครั้งด้วย”

น.ส.ณิชานันท์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจอก้อนอยู่ในท้องของแมวสฟิงซ์ จึงสอบถามกับคนสนิท และเขาก็บอกมาแค่ว่า ไม่ทราบเช่นกันว่ามีก้อนอยู่ในท้อง เพราะคิดว่าแค่ท้องเสียเท่านั้น จึงนำเจ้าหนูท่อไปให้สัตวแพทย์ตรวจอาการที่คลินิก พบว่ามีไข้ เริ่มอ่อนแรง ส่วนก้อนเนื้อที่พบในท้อง หมอพบว่า ใหญ่ประมาณ 2X5 เซนติเมตร แต่ยังไม่สามารถวินิฉัยระบุได้ว่า เป็นก้อนเนื้ออะไร ต้องส่งไปเอ็กซ์เรย์ตรวจอย่างละเอียด จึงจะทราบผล โดยหมดค่าตรวจและค่ายาในรอบนั้นไปประมาณ 500 กว่าบาท และหากต้องการตรวจดูอย่างละเอียด รวมถึงรักษาอาการควบคู่กันไป ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกมา เพราะถึงแม้จะยังไม่ทราบว่าเป็นก้อนเนื้ออะไร แต่หมอสันนิษฐานไว้ว่าอาจเป็นไส้เลื่อน ต้องผ่าตัด ต้องมีค่าใช้จ่ายรวมกันนับหมื่นบาท จึงทำให้รู้สึกเครียดอย่างหนัก เนื่องจากไม่ได้มีเงินมากมายที่จะนำมารักษาได้ถึงขนาดนั้น เลยตัดสินใจติดต่อขอคืนแมวให้เจ้าของ คืนเงิน และนำเจ้าหนูท่อกลับไปรักษาดีกว่า

“หนูมองว่าเขาขายของไม่ตรงปก และตัวเจ้าของเขาก็พูดเองว่า แมวตัวนี้เลี้ยงมากับมือ ไม่มีอาการป่วยใดๆ เพิ่งจะมามีอาการแค่ท้องเสียเท่านั้น จึงได้มีการขอเบอร์ติดต่อจากคนสนิท แต่เขาบอกว่าให้ไม่ได้เพราะไม่อยากมีปัญหา แต่สุดท้ายเขาก็ให้หนูติดต่อคุยกันทางเฟซบุ๊กกับเจ้าของแทน ซึ่งหนูก็ให้แฟนหนูที่เป็นคนเมียนมา ทักแชตติดต่อไปพูดคุยเพื่อให้เจ้าของมาซื้อเจ้าหนูท่อกลับคืนไป แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด หาเรื่องอ้างไปต่างๆ นานา จนกระทั่งหนักเข้า ก็ถูกเจ้าของคนนั้น อ้างตัวว่าเป็นข้าราชการสีกากี ต่อว่าท้าทายให้ไปฟ้องศาล แถมยังขู่ถามอยากลองดีใช่หรือไม่ แล้วยังมาหาจะจับแฟนหนูที่เป็นชาวเมียนมา โดยกล่าวหาว่าหลบหนีเข้าเมือง ทั้งที่แฟนของหนู ก็มีบัตรประจำตัว สามารถอยู่ในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้ จะดำเนินการอย่างไรต่อ น.ส.ณิชานันท์ ได้กล่าวว่า หลังจากถูกข่มขู่ จึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเอาไว้เป็นหลักฐาน ส่วนตอนนี้ต้องการร้องผ่านสื่อ ให้ช่วยเป็นสื่อกลางไปยังเจ้าของหนูท่อ โดยขอให้เขากลับมาซื้อแมวของเขาคืนไป แล้วให้เขาพามันไปรักษาด้วย เนื่องจากตอนนี้ ผ่านมา 7 วันแล้ว ก้อนเนื้อที่อยู่ในท้องเจ้าหนูท่อเริ่มเพิ่มขนาดใหญ่เรื่อยๆ แถมมีน้ำเหลืองไหลออกมาด้วย เกรงว่ามันจะเป็นหนัก ส่วนเรื่องเงินที่จะขอให้เจ้าของซื้อคืนไปนั้น ตอนแรกหวังไว้เต็ม 9,000 บาท แต่ตอนนี้ ขอเพียงแค่ครึ่งเดียวพอ เนื่องจากรู้สึกสงสารเจ้าหนูท่อมันมาก จึงอยากให้เจ้าของรีบเอามันกลับไปรักษาอาการโดยด่วน

ซึ่งล่าสุดผู้สื่อข่าวได้มีการติดต่อพูดกับกับทางเจ้าของแมวเดิมทราบว่า เป็นข้าราชการประจำอยู่ชายแดน จ.ตาก กล่าวเปิดใจว่า ก่อนหน้านี้ได้ซื้อแมวสฟิงซ์ เพศผู้และเพศเมีย มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน 1 คู่ ซึ่งก็เลี้ยงมา 9 เดือน กระทั่งเริ่มไม่มีเวลาดูแล จึงยกแมวตัวผู้ให้กับน้องชายที่เป็นเครือญาติกันนำไปเลี้ยง ส่วนแมวตัวเมียที่เป็นปัญหาก็มีคนต่างจังหวัดมาติดต่อขอซื้อในราคา 12,000 บาท และได้มีการโอนเงินมาให้เป็นค่ามัดจำ 2,000 บาทไว้แล้ว แต่ปรากฏว่า จู่ๆ คู่กรณีก็ให้น้องชายมาติดต่อขอซื้อกับตน โดยเขาตื้อมาว่าจะเอาให้ได้ แต่ก็ซื้อได้เพียงแค่ 9,000 บาทเท่านั้น ซึ่งตนก็ทนการตื้อไม่ไหว จึงยอมขายให้ไป แถมตอนที่คู่กรณีมาดูแมวที่บ้าน เจ้าตัวก็ยังได้อุ้มได้ได้เล่นด้วย ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

จนกระทั่งเอาแมวไปส่งให้ที่บ้านเขา และจ่ายเงินกันบริเวณหน้าบ้าน ผ่านจากวันนั้นไปประมาณนับสัปดาห์ จู่ๆ เขาก็ติดต่อกลับมา จะมาเอาแมวกลับมาให้แล้วขอเอาเงินคืน ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่ซื้อคืนแน่นอน เพราะก่อนที่คู่กรณีจะเอาไปก็ให้ตรวจดูอย่างดีก่อนแล้ว และยืนยันได้ว่า แมวตัวที่เกิดปัญหาไม่มีป่วยอาการอะไรเลย เป็นปกติทุกอย่าง จะมีแค่ช่วงหลังที่ได้ยกตัวผู้ให้น้องชายไปเลี้ยง จึงทำให้แมวอีกตัวเกิดอาการซึม เพราะเหงา เนื่องจากเพื่อนคู่หูของมันย้ายไปอยู่กับเจ้าของใหม่ เลยมีอาการเครียดบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไร

ส่วนเรื่องข่มขู่ฝ่ายคู่กรณีนั้น ตนยอมรับผิดและขอโทษ แต่ตอนนั้นด้วยความที่โดนรบเร้าจนรู้สึกเกิดความโมโห จึงทำให้ต้องทำไปเพราะอยากตัดความรำคาญเท่านั้น ไม่ได้จะไปทำอะไรเป็นจริงเป็นจังอย่างที่ทำไปอย่างแน่นอน และสุดท้าย ยังยืนยันว่า จะไม่ซื้อแมวตัวที่เป็นปัญหากลับคืนไปอย่างแน่นอน เพราะแมวมามีอาการป่วยตอนที่เขาเอาไปเลี้ยงแล้วเป็นอาทิตย์ เพราะฉะนั้น ฝ่ายคู่กรณีจะต้องรับผิดชอบแมวตัวนั้นเอง.