เมื่อวันที่ 7 ก.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (6 ก.ค.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., สั่งการให้พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้ว สว.ฝอ.บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว.กก.สส.4 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร, ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ.บก.สส.บช.น., ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ รอง สว.ฯ, จ.ส.ต.ณัฐกิต เชื้อสุข ผบ.หมู่ฯ, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ผบ.หมู่ฯ, จ.ส.ต.สรศักดิ์ ด้วงชู ผบ.หมู่ฯ จับกุมตัวนางสาว พิมพ์ประภัสสร หรือเมย์ แจ่มจำรัส อายุ 44 ปี จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ จ.105/2566 ลงวันที่ 2 มี.ค. 66 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน“ โดยจับกุมได้ที่บริเวณภายในลานจอดรถวัด ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

สืบเนื่องจากประมาณปี 60 ที่ผ่านมา ช่วงที่แชร์ลูกโซ่ออนไลน์เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท โอดี แคปปิตอล จำกัด เป็นหนึ่งในนั้น โดยอ้างว่ารับฝากเงินลงทุน นำไปเพิ่มมูลค่าโดยการนำไปเทรดค่าเงินฟอร์เร็ก และรับรองกำไรที่ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 จากเงินลงทุน มีเหยื่อหลงเชื่อเข้าไปร่วมลงทุนจำนวนมาก โดยผู้ต้องหารายนี้เป็นหนึ่งในแม่ทีมคนสำคัญ ชักชวนเหยื่อให้ร่วมลงทุนได้จำนวนหลายราย และออกอุบายว่าหากชักชวนผู้อื่นร่วมลงทุนได้เยอะ จะมีสิทธิพิเศษ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ต่อมาผู้เสียหายในคดีนี้ถูกหลอกให้ร่วมลงทุนกว่า 5 ล้านบาท แต่หลังจากวงแชร์ล่ม ผู้บริหารบริษัทเริ่มถูกจับกุม

จากนั้นผู้ต้องหารายนี้ ได้เลิกอาชีพแม่ทีม และผันตัวมาเป็นเจ้าแม่สายบุญในปัจจุบัน กระทั่งถูกผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี หลังจากไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ผู้ต้องหาอ้าง และไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้ จากนั้นได้มีการออกหมายเรียกเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ผู้ต้องหาไม่มาตามหมายเรียก จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ ทางชุดสืบสวนนครบาลลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว จนทราบว่าผู้ต้องหารายนี้มักไปทำบุญที่วัดทุกวันพระเป็นประจำ ปรับเปลี่ยนทรงผมบ่อยครั้งเพื่ออำพรางตัว

ต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงส่งตำรวจหญิงใส่ชุดขาวแฝงตัวเข้าร่วมการทำบุญ และปฏิบัติธรรมในวัดดังย่านคลองหลวง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 500 คน จนได้พบกับ น.ส.พิมพ์ประภัสสร ที่มีทรงผมใหม่ ซึ่งครั้งนี้ น.ส.พิมพ์ประภัสสร ใส่วิกผมสีน้ำตาลติดโบสีขาวด้านหลัง แต่ก็ไม่รอดสายตาตำรวจได้ จึงเฝ้ารอจนเสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมและจับกุมตัวได้คาวัดดังกล่าว

สอบสวน น.ส.พิมพ์ประภัสสร ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่า สิ่งที่ตนทำเป็นการลงทุนจริงๆ ไม่ได้เป็นการฉ้อโกง เพราะตนก็ได้เงินจริง ส่วนเรื่องที่เป็นคดีความเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 60 ตนได้รับการชักชวนจากคนรู้จักให้ร่วมลงทุนเกี่ยวกับการเทรดหุ้น ตนได้เงินจากการลงทุนจริง ได้ผลกำไรจากการลงทุนร้อยละ 7 ต่อเดือน เมื่อได้เงินจริง ตนก็เริ่มชักชวนคนรอบตัวมาร่วมลงทุนเพิ่ม โดยตนเองได้ไปถ่ายรูปร้านเพชร และกิจการที่จังหวัดเชียงใหม่ จนเกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้มีคนสนใจมาลงทุนด้วยจำนวนมาก ต่อมาเมื่อปี 61 บริษัทที่ลงทุนเริ่มประสบปัญหาในการจ่ายปันผล ไม่ได้เงินตามที่ลงทุนไป ทำให้ตนไม่ได้นำเงินไปจ่ายให้กับคนที่ตนชักชวนมาจึงเกิดคดีความขึ้น

น.ส.พิมพ์ประภัสสร ให้การอีกว่า ในส่วนของเรื่องการเปลี่ยนทรงผมบ่อย ปัจจุบันตนมีผมสั้น เพราะเพิ่งสึกจากการบวชที่วัดแถวพิษณุโลก ทำให้ต้องใส่วิกผมยาวตอนออกไปวัดธรรมกาย ตนชอบการทำการทำบุญและปฏิบัติธรรมมาก เพราะให้จิตใจสงบ ส่วนการเปลี่ยนแปลงทรงผมบ่อยๆ นั้น เป็นเพราะว่าลูกชายให้เปลี่ยน เนื่องจากลูกชายได้รับไอเดียการเปลี่ยนแปลงทรงผมใหม่ๆ มาจากสื่อออนไลน์ ตนจึงได้เปลี่ยนตามเพราะลูกชอบ เบื้องต้นจึงถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า ปัจจุบันอาชญากรรมออนไลน์เข้ามามีบทบาท ในชีวิตประจำวันของประชาชน โดยคนร้ายได้ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือในการหลอกล่อเหยื่อให้ร่วมลงทุนหรือโอนทรัพย์สิน ทำให้มีผู้เสียหายในคดีรูปแบบนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงฝากความห่วงใยไปยังประชาชนทุกท่านขอให้รู้เท่าทันกลโกงเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้ หากท่านการกระทำความผิดโปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจสืบนครบาล IDMB