จากกรณีเด็กวัยรุ่น 5-6 คนทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นอีกคนซึ่งเป็นคู่อริกันบนวัดพระธาตุดอยกองมู ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และกลุ่มวัยรุ่นวิ่งไล่ตามคู่อริโดยบุกรุกสถานที่เปิดประตูกุฏิพระ เณรอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย หลังเกิดเหตุ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองแม่ฮ่องสอน แต่ร้อยเวรไม่รับแจ้งความ และบอกว่าค่อยมาแจ้งความใหม่ในวันรุ่งขึ้นพร้อมหลักฐาน เหตุเกิดเมื่อเวลา 20.20 น.ของคืนวันที่ 4 ก.ค. 67 ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

วัยรุ่นเหิมบุกวัดดังไล่เปิดทุกกุฏิหาคู่อริ ‘รองเจ้าคณะ’ แจ้งความร้อยเวรไม่รับเฉย

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 20.00 น. วานนี้ (5 ก.ค.) พ.ต.อ.ภาสวินท์ แก้วต่าย ผกก.สภ.เมืองแม่ฮ่องสอน พระครูอนุชิตกิจจานุกูล รองเจ้าคณะอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน วัดพระธาตุดอยกองมู ร.ต.อ.สุวรรณ เจริญสุข รองสารวัตร(สอบสวน) และผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่น 2 คน ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์วัยรุ่นบุกวัด เมื่อพระมาแจ้งความทำไมตำรวจไม่รับแจ้ง

โดย พ.ต.อ.ภาสวินท์ กล่าวว่า กรณีพระให้ข่าวว่าตำรวจไม่รับแจ้งความนั้น ได้สอบถามร้อยเวรเจ้าของคดีแล้ว ทราบว่าหลังเกิดเหตุในคืนดังกล่าว มีพระครูอนุชิตกิจจานุกูล รองเจ้าคณะอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน วัดพระธาตุดอยกองมู พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ วัยรุ่นที่ได้รับบาดเจ็บ ได้เดินทางเข้ามาแจ้งความที่ สภ.เมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งร้อยเวร ได้รับแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เรียบร้อยแล้ว ตามบันทึกประจำวันลงวันที่ 4 ก.ค. 67 เวลา 21.22 น. เล่มที่ 8/2567 เลขที่ 76 เลขคำแจ้งความที่ CC70845256702099B และให้ผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีแล้ว 2 ราย แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นเด็กเยาวชน จึงขอสงวนชื่อนามสกุล และจะนัดกับสหวิชาชีพมาดำเนินการสอบสวนปากคำ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแยกเป็น 2 ส่วน คือ บุกรุก และทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย

ผกก.สภ.เมืองแม่ฮ่องสอน กล่าวต่อไปว่า เรื่องการดูแลความปลอดภัยความสงบบริเวณวัดพระธาตุดอยกองมู ได้มีมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มความถี่ ความเข้มในการออกตรวจบริเวณวัดเป็นกรณีพิเศษ พร้อมชุดเคลื่อนที่เร็ว ประสานงานกับหน่วยงานเทศบาลเพิ่มจำนวนกล้อง CCTV บนวัดให้มากขึ้น

พระครูอนุชิตกิจจานุกูล กล่าวว่า ที่อาตมาให้สัมภาษณ์ไปว่าตำรวจไม่รับแจ้งความนั้น อาจจะเป็นการสื่อสารระหว่างพระกับร้อยเวร หลังจากพูดคุยกับตำรวจแล้ว อาตมาเข้าใจผิดเอง เพราะการแจ้งความแยกเป็น 2 ส่วน แจ้งความให้กับผู้ที่ถูกทำร้ายร่างกาย ส่วนพระก็จะแจ้งความกรณีบุกรุกหรือลงบันทึกประจำวัน ตามที่ได้ดูเอกสารพบว่าตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันรับแจ้งความให้กับผู้ที่ถูกทำร้ายร่างกายเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ส่วนคดีบุกรุก อาตมาจะนำหลักฐานกล้องวงจรปิดมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันต่อไป เรื่องนี้อาตมาได้พูดคุยทำความเข้าใจกับร้อยเวรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทางด้านผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย (ขอสงวนชื่อสกุล) กล่าวว่า ยอมรับว่าได้บุกรุกวัดและทะเลาะวิวาทกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจริง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกับพวกตนเคยเป็นเพื่อนพักอาศัยอยู่ด้วยกันและทะเลาะกัน สาเหตุเนื่องจากผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นคนลักเล็กขโมยน้อย ไปขโมยถอดอะไหล่รถจักรยานยนต์จากที่ต่างๆ และนำมาซุกซ่อนไว้ในห้องที่พวกตนพักอาศัยอยู่ พวกตนจึงให้นำออกไปเพราะเกรงจะมีส่วนพัวพันถูกตำรวจจับ จึงเกิดทะเลาะกันมาก่อน เมื่อมาพบเจอกันที่วัดอีกครั้ง จึงได้เข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ใช้เพียงกำปั้นและเท้าโดยไม่มีอาวุธแต่อย่างใด.