เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นายปัญญา โตกทอง อายุ 66 ปี เครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน และเครือข่ายประชาคมคนรักแม่กลอง กล่าวถึงปลาหมอคางดำ ว่า เริ่มระบาดเข้ามาที่ ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ประมาณปี 2544 ตอนนั้นตนมีอาชีพเลี้ยงกุ้ง แรกๆ ก็ไม่รู้ว่าปลาอะไรปะปนกับกุ้งประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากว่า มีบริษัทแห่งหนึ่ง นำปลาพันธุ์นี้เข้ามาในพื้นที่เพาะเลี้ยงจ.สมุทรสงคราม เนื่องจากช่วงนั้นการเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิมในการเพาะเลี้ยงตายจำนวนมาก จึงหาวิธีแก้ปัญหา มีผู้แนะนำให้ทดลองนำ “ปลาหมอคางดำ” จากทวีปแอฟริกามาช่วยพัฒนาสายพันธุ์เป็นปลาเศรษฐกิจตัวใหม่ โดยนำเข้ามาลอตแรกประมาณ 2,000 ตัว สุดท้ายได้กระจายลงแหล่งน้ำธรรมชาติสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านที่เลี้ยงกุ้งทั้งแบบพัฒนาคือการซื้อลูกกุ้งมาปล่อยในบ่อเลี้ยง และเลี้ยงแบบธรรมชาติคือการสูบน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ

นายปัญญา กล่าวต่อว่า ช่วงนั้นนอกจากกุ้งที่เลี้ยงไว้การจับเริ่มน้อยลงแล้วสัตว์น้ำพื้นถิ่นที่เคยชุกชุมก็เริ่มหายากขึ้น และชาวบ้านก็มีการนำปลาหมอคางดำมาทำกินแต่เนื้อปลาไม่อร่อยและก้างเยอะ จึงไม่เป็นที่นิยม ตอนนั้นเครือข่าย 4 อำเภอ 2 จังหวัด คือ อ.เมืองสมุทรสงคราม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม อ.บ้านแหลม และ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี เริ่มออกมาเคลื่อนไหวโดยไปร้องเรื่องการละเมิดสิทธิต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรียกว่าร้องกันจนเสียงแห้ง กรณี “ผู้ใดก่อมลพิษผู้นั้นต้องรับผิดชอบ” โชคยังดีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เรียกกรมประมงเข้าหารือกับทุกภาคส่วน จนทราบว่ามีต้นตอมาจากบริษัทใหญ่ อ้างว่านำเข้าปลาหมอคางดำจริงในปี 2549 และปลาที่นำเข้ามาทั้ง 2,000 ตัวนั้นได้ทำลายโดยฝังกลบแล้ว แต่เมื่อมีปลาหมอคางดำอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติก็ไม่ได้ออกมารับผิดชอบใดๆ

“บทสรุปคราวนั้นคือ ชาวบ้านเสนอให้กรมประมงรับซื้อปลาหมอคางดำ เริ่มระบาดกิโลกรัมละ 20 บาท เพื่อเยียวยาและสร้างแรงจูงใจให้มีการจับปลาหมอคางดำมาขาย เพราะตอนนั้นระบาดแค่ 4 อำเภอ 2 จังหวัด โดยเปรียบเสมือนข้าว 4 ชาม ใช้งบกวาดล้างตอนนั้นก็ไม่มาก จับให้หมดอย่าให้เหลือข้าวในชามแม้แต่เม็ดเดียว เพราะถ้าปล่อยไว้ก็แพร่พันธุ์มากขึ้นและรวดเร็วมาก ปลาชนิดนี้ออกไข่ทุก 22 วัน ปลา 1 คู่ ออกลูก 6 ล้านตัวภายใน 1 ปี ทำให้ทั้งพ่อแม่ปลาไม่สร้างโปรตีน ก้างจึงแข็งเนื้อน้อยวนเวียนกันอยู่แบบนี้”

นายปัญญา กล่าวีกว่า ต่อมาจึงเสนออีกแนวทางให้กรมประมงเลี้ยงปลานักล่า เช่น ปลากะพง ปลากุเลา ฯลฯ เพื่อปล่อยกินลูกปลาหมอคางดำ เพราะตอนนั้นการรับซื้อของกรมประมงเป็นช่วงสั้นๆ พอหมดเงินปลาหมอคางดำก็กลับมาเยอะอีก จากนั้นก็มีแต่การแก้ปัญหาเป็นช่วงๆ เหมือนจัดอีเวนท์ จนตอนนี้ 18 ปีแล้ว จ.สมุทรสงคราม มีการระบาดกระจายไป 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ และปัจจุบันยังขยายไป 14 จังหวัดอื่นๆ ทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ตอนที่ระบาดน้อย 2 จังหวัดไม่ได้ทำจริงจัง อีกทั้งบริษัทต้นเหตุก็ไม่ออกมารับผิดชอบใดๆ เพราะขณะนี้เริ่มส่งผลกระทบระบบนิเวศ เพราะปลาหมอคางดำกินทั้งลูกกุ้งลูกปลาทำให้ “ปลาท้องถิ่น” เริ่มลดน้อยหายไป เช่น ปลาหมอเทศ ส่วนปลากระบอก ที่เคยชุกชุมก็หายากขึ้น ส่วนบ่อปลาสลิด ตอนนี้ก็พบว่ามีปลาหมอคางดำเข้าไปปะปนประมาณ 20% แล้ว

ส่วนสาเหตุที่ปลาหมอคางดำ เริ่มแพร่ระบาดไปยังภาคใต้นั้น นายปัญญา บอกว่า น่าจะไปเองตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะปลาชนิดนี้อยู่ได้ทุกสภาพน้ำ ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม รวมถึงน้ำคุณภาพต่ำ ชอบที่สุดคือน้ำกร่อย แต่จะไม่ลงไปในทะเลลึกหรือพื้นที่ดินทรามโดยจะว่ายลัดเลาะชายฝั่งและขยายพันธุ์ตามป่าชายเลน

สำหรับการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำนั้น นายปัญญา บอกว่า อันดับแรกภาครัฐต้องจริงใจก่อน อย่าคิดแทนชาวบ้านแต่ให้คิดร่วมกันให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมหรือกำหนดให้การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำเป็น”วาระแห่งชาติ” หน้าที่ของกรมประมงคือการกำจัดปลาหมอคางดำไม่ต้องยุ่งกับเรื่องแปรรูปให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น และต้องจับมือกับบริษัทใหญ่ต้นเหตุให้มาร่วมรับผิดชอบเพราะได้นำเข้ามาแล้วละเมิดสิทธิชาวบ้านก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย รับซื้อปลาที่ได้กลับไป