สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ว่า กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์เผยแพร่แถลงการณ์ ว่ารัฐบาลมีนโยบายชัดเจน เกี่ยวกับการห้ามส่งออกอาวุธไปยังเมียนมา และการไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ในสิงคโปร์ เป็นฐานสำหรับการยักย้ายถ่ายโอน หรือการส่งออกอาวุธแบบ “ใช้เพื่อวัตถุประสงค์สองทาง” ไปยังเมียนมา เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่า จะมีการนำยุทโธปกรณ์เหล่านั้นไปใช้เพื่อการทหาร ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงระดับร้ายแรง ให้แก่พลเรือน


อย่างไรก็ตาม การค้าขายและการทำธุรกรรม “ที่ถูกต้องตามกฎหมาย” ระหว่างสิงคโปร์กับเมียนมา จะยังคงดำเนินต่อไป เพื่อเป็นการมอบความสนับสนุนที่จำเป็นและต่อเนื่อง ให้ถึงชาวเมียนมา


แถลงการณ์ดังกล่าวของรัฐบาลสิงคโปร์ เป็นการตอบสนองต่อรายงานฉบับล่าสุดของนายโธมัส แอนดรูว์ส ผู้จัดทำรายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมาให้กับสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในชื่อ “ธนาคารและการค้าความตาย : ธนาคารและรัฐบาลสามารถช่วยเหลือรัฐบาลทหารเมียนมาได้อย่างไร”


รายงานระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติกดดันให้การซื้ออาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมา ผ่านกลไกการเงินระหว่างประเทศลดลง 1 ใน 3 จากปีงบประมาณ 2565 ถึงปีงบประมาณ 2566 ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาระหว่างเดือน มี.ค. ถึงเดือน เม.ย. ของแต่ละปี โดยมูลค่าล่าสุดอยู่ที่เพียง 253 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,295.22 ล้านบาท)


ทั้งนี้ การซื้อขายอาวุธผ่านสิงคโปร์ ที่แอนดรูว์สเคยระบุว่า อยู่ในกลุ่มประเทศผู้ค้าอาวุธรายใหญ่อันดับต้นของรัฐบาลทหารเมียนมา “ลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ” ในช่วงหลังการรัฐประหาร เมื่อปี 2564 เนื่องจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการตรวจสอบ โดยมูลค่าการซื้อขายระหว่างปีงบประมาณ 2565 ถึงปีงบประมาณ 2566 ลดลงจาก 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,041.40 ล้านบาท) เหลือเพียง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 367.40 ล้านบาท) หรือลดลงประมาณ 90%

อย่างไรก็ตาม การซื้อขายอาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมา ผ่านบริษัทและสถาบันการเงินซึ่งจดทะเบียนในไทย ที่ในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า เป็น 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,408.80 ล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นการซื้ออุปกรณ์เคมี เครื่องจักร ไปจนถึงชิ้นส่วนเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ ทั้งนี้ทั้งนั้น แอนดรูว์สยืนยันว่า ข้อมูลในรายงานไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลไทยมีความเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรู้เห็นหรือไม่.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES