สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐ และว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์ที่จัดและถ่ายทอดสดโดยซีเอ็นเอ็น ซึ่งเป็นการดีเบตครั้งแรก ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 5 พ.ย.นี้


ในประเด็นเศรษฐกิจ ไบเดนกล่าวว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันได้รับมรดกทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ มาจากรัฐบาลชุดก่อนหน้า ขณะที่ทรัมป์ยืนยัน ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐภายใต้การบริหารของเขานั้น “ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว” และกล่าวโทษไบเดนที่ยังไม่สามารถลดอัตราเงินเฟ้อของประเทศได้


อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงยืนยันนโยบาย ตั้งกำแพงภาษีสินค้าต่างประเทศทุกชนิดในอัตรา 10% แม้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่วิจารณ์ว่า จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า แต่อดีตผู้นำสหรัฐกล่าวว่า “จะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับทุกประเทศที่เอาเปรียบทางการค้าต่ออเมริกามาตลอด โดยเฉพาะจีน”


เกี่ยวกับสถานการณ์โลก ทรัมป์โจมตีไบเดน “ทำตัวเหมือนชาวปาเลสไตน์” จึงไม่สามารถสนับสนุนอิสราเอล ให้ทำสงครามกวาดล้างกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา “ได้อย่างเต็มที่” แต่อดีตผู้นำสหรัฐกล่าวด้วยว่า ชาวปาเลสไตน์ก็ไม่ประทับใจไบเดนเหมือนกัน “เพราะอ่อนแอเกินไป”


ขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงขั้นตอนการถอนทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถาน ที่เกิดขึ้นตามคำสั่งของไบเดน “ล้มเหลวและน่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์” อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้รัสเซียเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารต่อยูเครน ในอีกเกือบ 1 ปีต่อมาด้วย แต่ไบเดนโต้แย้งว่า การปิดฉากภารกิจในอัฟกานิสถาน บ่งชี้ว่า จะไม่มีทหารอเมริกันต้องสังเวยชีวิตในสมรภูมิต่างแดนอีก


เกี่ยวกับสงครามในยูเครน ไบเดนเน้นย้ำความสนับสนุนของสหรัฐที่จะมอบให้แก่ยูเครนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งประณามแนวคิดของทรัมป์ ทั้งความชื่นชอบส่วนตัวที่มีต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และการที่ทรัมป์ยังคงมีแนวคิดนำสหรัฐออกจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)


ด้านทรัมป์กล่าวว่า สงครามในยูเครนจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากสหรัฐ “มีผู้นำที่แท้จริง” และยืนยันว่า หากได้รับการเลือกตั้ง ตัวเขาจะสามารถยุติสงครามครั้งนี้ได้ แม้อดีตผู้นำสหรัฐวิจารณ์ “เงื่อนไข” ของปูตินในการยุติสงครามว่า “รับไม่ได้” แต่เรียกประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ในเชิงเสียดสีว่า “เซลส์แมนผู้ยิ่งใหญ่” จากการเดินสายขอความสนับสนุนทางทหาร


เกี่ยวกับอายุ ที่ตอนนี้ไบเดนอยู่ในวัย 81 ปี และทรัมป์ 78 ปี ทั้งคู่ยังคงยืนยันว่า “ไม่มีปัญหา” และเมื่อผู้ดำเนินรายการซักถามว่า จะยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า “หากเป็นกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงพอ”


นอกจากนี้ ต่างฝ่ายต่างสาดโคลนใส่กัน เกี่ยวกับคดีความทั้งของตัวทรัมป์ และนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของผู้นำสหรัฐ และทรัมป์ยังท้าให้ไบเดนไปเข้ารับการทดสอบความถนัดทางปัญญา เพื่อประเมินภาวะสมองเสื่อมพร้อมกันด้วย


หลังเสร็จสิ้นการดีเบต ผลสำรวจความคิดเห็นของซีเอ็นเอ็นปรากฏว่า ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะที่ 67% ต่อ 33% มากกว่าก่อนการดีเบตซึ่งมีการคาดหมายว่า ทรัมป์น่าจะทำได้ดีกว่าที่ 55% ต่อ 45%


ขณะที่นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี เรียกร้องอเมริกันชน ให้ความสำคัญกับผลงานของไบเดน มากกว่าการดีเบตเพียงครั้งเดียว แม้มีรายงานว่า บรรดาแกนนำพรรคเดโมแครตเริ่มมีความกังวลมากขึ้น เกี่ยวกับสภาพร่างกายและจิตใจของไบเดน ส่วนพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะจากการดีเบตครั้งนี้ และการดีเบตครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ก.ย. ที่จะถึง.

เครดิตภาพ : AFP