เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล หัวหน้าศูนย์ข่าวเดลินิวส์ภาคใต้ตอนล่าง ว่าที่ สว. กล่าวในรายการDailynews Talk ทางช่องยูทูป Dailynews online ในหัวข้อ “เปิดใจว่าที่ สว.ไชยยงค์ มึน-งง-ฮั้ว สูตรพิสดาร ว่า ตนไปสมัคร สว. มาโดยไม่ได้มาบอกใคร โดยสมัครในกลุ่มที่ 18 กลุ่มสื่อมวลชน ซึ่งการเลือก สว.ครั้งนี้เป็นการหักปากกาเซียน บุคคลที่มีชื่อเสียงที่สังคมมองว่ามีผลงานโดดเด่นหลายคน ไม่สามารถทะลุด่านหินจนถึงรอบสุดท้ายได้ ซึ่งขั้นตอนการเลือก สว.เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา คนที่สมัคร สว.เดินทางไปเมืองทองธานีตั้งแต่ช่วงเช้ามืด เพื่อเลี่ยงรถติดมหาศาลไปอออยู่หน้าประตูจนถึง 06.00 น. จนกว่าเขาจะเปิดประตูให้เข้าไปได้ จากนั้นมีการเข้าไปลงทะเบียนเพื่อแยกกลุ่ม ซึ่งมีอยู่ 20 กลุ่ม พอแยกกลุ่มเสร็จต้องรอถึง 09.00 น. จนมีพิธีเปิด โดยประธาน กกต.พูดคุยผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อให้ทุกกลุ่มได้รับทราบกติกาในการเลือกตั้ง หลังจากนั้นเป็นการเลือกตั้งกลุ่มใครกลุ่มมันในช่วงเช้า

นายไชยยงค์ กล่าวว่า ทั้งนี้การเลือกในระดับกลุ่มรู้ผลช้าเนื่องจากเป็นกติกาใหม่ ทุกฝ่ายไม่เคยผ่านการเลือกตั้งแบบนี้ การที่เอาคนที่ผ่านการเลือกตั้งระดับจังหวัดเกือบ 3,000 คนมากองอยู่ในพื้นที่เดียวกัน มันยุ่งยาก ตนยังนับถือว่า กกต.ทำเรื่องนี้ค่อนข้างเดียวที่เอาคนทั้งหมดมาดำเนินการให้อยู่ในกรอบของการให้แต่ละกลุ่มเตรียมการเลือกตั้งได้ ส่วนความวุ่นวายเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ภายในมีการแบ่งกลุ่มและมีฉากกั้นเพื่อไม่ให้เห็นหน้ากัน ไม่ให้เราส่งสัญญาณในการหาคะแนนเสียงระหว่างกัน มีการคุมเข้มงวดตามกติกา ใครจะเข้าห้องน้ำต้องขออนุญาตและต้องเซ็นเวลา และมีคนเดินตามหลังต้อนไปเข้าห้องน้ำ และยืนคุมเวลาเข้าห้องน้ำ และมีตำรวจเฝ้าตลอดตามเส้นทาง ควบคุมไม่ให้แต่ละคนพบปะพูดคุยกัน ป้องกันการหาเสียง ถ้าหากไปห้องน้ำนานก็จะกลายเป็นข้อสงสัย รวมทั้งมีการเก็บเครื่องมือและคืนให้หลังจบกระบวนการเลือกตั้งแล้ว

นายไชยยงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นยังมีการขู่ห้ามนำโพยเข้าไปด้วย รวมทั้งเอกสารต่างๆ จะถูกเปลี่ยนอยู่ตลอด เพราะมีบางคนเขียนโพยไว้ในเอกสาร พอเลือกรอบเช้าเสร็จเอกสารจะนำมาใช้ตอนบ่ายไม่ได้เขาจะยึดคืน เพราะรู้ว่าหลายคนคงจะจดโน่นจดนี่เอาไว้ ซึ่งตนเข้าใจว่าสำหรับคนที่ไปเลือก จำไม่ได้หรอก หากไม่จดไว้ แต่เขาก็ใช้วิธีใหม่ สมมติรอบแรกเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอกสารนั้นไม่ต้องใช้เขายึดคืน แล้วเขาก็จะเอาคนที่เข้ารอบเหลือเท่านี้มาทำเอกสารใหม่ แล้วเอามาให้เราถือเข้าคูหาได้ เราต้องใช้เวลา ถ้าเราจำไม่ได้ มันจะเสียเวลาเปิดดูรายชื่อ 800 คน ในแต่กลุ่มว่ามีเท่าไร เราต้องเปิดหา ซึ่งแต่ละคนใช้วิธีที่ตัวเองชอบก็คือจดไว้ เพราะในใจตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าในกลุ่มนี้ตัวเองจะเลือกใคร ไม่ต้องไปเปิดหนังสือ นี่คือวิธีการของคนไทยที่ทำมาในอดีต แม้แต่การเลือกตั้ง สส.ไม่กี่คนเรายังต้องจดใส่ฝ่ามือไป เพราะกลัวว่าเข้าคูหาแล้วจำไม่ได้ว่าเบอร์อะไร เรื่องนี้เหมือนกับเป็นวิถีชีวิตของคนไทยในการเลือกตั้ง

นายไชยยงค์ กล่าวว่า ตนมองว่าการเมืองไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึงวันนี้มันยังหนีไม่พ้นรูปแบบวงจรแบบเดิมๆ ตั้งแต่สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีไพ่ไฟอะไรที่เราเรียกกัน จนถึงวันนี้ เพียงแต่ว่าระบบของการจัดตั้งเครือข่ายมันมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ มันก็จะมีการจัดตั้งในรูปแบบที่มันอาจจะสัมฤทธิ์ผลในการจัดตั้งรูปแบบใหม่ๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่ในการเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองเขาก็ทำ ตนยังมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองแต่ละพรรคในการแสวงหาพันธมิตรของตัวเองในการที่จะได้มาซึ่งบุคคลต่างๆ ให้เป็นพวกก่อน สำหรับใช้ประโยชน์สำหรับกิจกรรมการเมืองในอนาคต หรืออาจจะมีแผนไว้แล้ว หรือไม่เราก็ไม่รู้

นายไชยยงค์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีผู้สมัคร สว.ที่ตกรอบออกมาระบุว่ามีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาเสนอเงินในการให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ตนคิดว่าบางครั้งคนที่เอาเรื่องนี้มาออกข่าว อาจจะสร้างเรื่องขึ้นมา เหตุผลคือตนอยู่ในวงการทำข่าวมานาน การเมืองเขามีระบบจัดตั้ง ไม่ว่าจะเลือกตั้งระดับเทศบาล ระดับอบจ. จนมาถึงระดับ สส.ก็ดี เขามีระบบจัดตั้งเขาจะไม่ใช้โทรศัพท์ข่มขู่เหมือนในอดีตอีกแล้ว และการใช้วิธีการแบบนี้ไม่ทันการ ถ้ามัวนั่งข่มขู่อยู่ตรงนั้นไม่ทันแล้ว ตนคิดว่าเวลาเราให้ข่าวเองเราก็ต้องสร้างน้ำหนักของข่าวว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หลายคนตอนที่ไปเลือกตั้งแล้วผ่านรอบแรกผู้สื่อข่าวไปถามก็บอกว่าดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่มันจะมีปัญหาหลังจากไม่ผ่านก็จะหยิบข้อไม่ดีออกมาพูด ตนมองอย่างนี้มาตลอด


นายไชยยงค์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร โพสต์ภาพโพยตกอยู่ในสถานที่เลือก สว. ตนก็เห็นเช่นกัน แต่ก็อย่างที่ตนพูดว่าเป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย อย่างตนที่เราจับสลากแบ่งสาย เราต้องไปเลือกคนอื่น 4 สาย แล้วในใจเรารู้ว่าเราจะไปเลือกเพื่อน แต่เราจำไม่ได้ว่าเบอร์อะไร ถ้าไม่ให้จดจะให้ทำอย่างไร ถ้าให้เปิดเอกสารที่มีถึง 800 คนจะวุ่นวายสับสนแค่ไหน ดังนั้นการคิดแบบคนไทยหรือแบบศรีธนญชัยเอาง่ายที่สุด บางคนก็จดใส่กระดาษไป บางคนพอกกต.พูดมากๆ ก็จดใส่ฝ่ามือ แล้วก็เดินเข้าคูหา ตนคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาในการเลือกตั้ง เพราะว่าเราจำทุกอย่างจำตัวเลขคนที่เราอยากเลือกไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปบอกว่าเขาสั่งให้เลือก เพราะถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ต้องเลือกคน 4 สาย ๆ ละ 5 คน รวมเป็น 20 คน จะจำได้อย่างไรว่าเบอร์อะไร ถ้าเขียนเบอร์ผิดก็กลายเป็นบัตรเสีย และเมื่อคืนมีบัตรเสียเกิดขึ้นเยอะมาก หลังกกต.บอกว่าห้ามเอากระดาษ ห้ามเข้าโพยเข้าไป

นายไชยยงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นในช่วงนับคะแนนเกิดปัญหาขึ้นคือการใช้เสียงในการนับคะแนนที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้สับสนจึงต้องดูที่หน้าจอให้ดี อย่างไรก็ตาม กกต. ได้ติดกล้องวงจรปิดไว้ในแต่กลุ่ม จำนวนหลายตัว สภาพเหมือนกับเราเป็นนักโทษที่รอพิจารณา ทั้งนี้ในคนที่มีคะแนนเป็นศูนย์ ตนเคยตั้งคำถามในการเลือกระดับจังหวัดว่าทำไมไม่ลงให้ตัวเอง เขาบอกว่าจ่ายเงิน 2,500 บาทมาเพื่อสนับสนุนคนที่เขาคิดว่าเขาอยากเลือก จะเลือกตัวเองทำไม ในเมื่อเลือกไปแล้วเสียงตกน้ำ เพราะเขาไม่ไปต่ออยู่แล้ว ตนคิดว่าเรื่องนี้ศาลต้องฟัง เพราะเขาตั้งใจไปเป็นโหวตเตอร์ให้คนที่เขาชอบ

นายไชยยงค์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่มีข้อร้องเรียนใน กกต. 614 คำร้องนั้น ตนคิดว่าไม่มาก เพราะเป็นคำร้องตั้งแต่รอบแรกที่ยังมีผู้สมัครจำนวนมาก จนถึงรอบสุดท้าย และบางคำร้องอาจจะซ้ำกันโดยเฉพาะในกรณีคุณสมบัติ เพราะว่าคุณสมบัติที่เขาให้ไว้กว้างมาก เช่น ในกลุ่ม 18 ของตน ที่เขียนว่านักหนังสือพิมพ์และผู้สร้างวรรณกรรม คนที่เขียนหนังสือแค่เล่มเดียว คนที่เป็นนักข่าวทำงานเกิน 10 ปีก็มีสิทธิ์ลง แม้แต่คนที่ทำงานประชาสัมพันธ์เป็นโฆษกงานวัด ก็มาสมัครและใช้ตำแหน่งเป็นโฆษกงานวัดได้ ถ้าตรงนี้เกิดความผิดพลาดก็เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการรับเรื่องครั้งแรกของ กกต.อำเภอ ว่าทำไมจึงไม่ตรวจสอบคุณสมบัติว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ เหมือนกรณีเสนาธิการกองทัพเรือเกษียณแล้วไปลงสมัครในกลุ่มอาชีพทำนา ตนก็ไปคุยไปสัมภาษณ์มาแล้ว ว่าเขาสมัครในอาชีพปัจจุบันของเขา ตามกฎหมายไม่ได้ปิดกั้น

นายไชยยงค์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ผ่านการคัดเลือกและได้เพียง 4 คะแนนนั้น ตนมองว่าในการเลือกครั้งนี้เราจะอาศัยโปรไฟล์อย่างเดียวไม่ได้ เราจะอาศัยว่าเคยเป็นอดีตนายกฯ อดีตประธานศาล หรือเคยทำอะไรมา แล้วไปลงภาพลงโปรไฟล์ให้เขาเลือกไม่ได้ เราจะต้องมีเครือข่ายในการสร้างความรู้จักก่อน นายสมชายผ่านเข้ารอบมาจาก จ.เชียงใหม่ ซึ่งคู่แข่งอาจจะไม่มี หรือมีน้อย แต่พอถึงวันที่ต้องมาโหวตในกลุ่มของตัวเองที่ กทม. เขามาจากทุกจังหวัด ถามว่านายสมชายจากทุกจังหวัดมีพันธมิตรมากี่คน ตรงนี้คือปัญหา นายสมชายถือว่าเคยเป็นอดีตนายกฯ เขาเข้าใจว่าโปรไฟล์เขาขายได้ พอมาถึงการโหวตจริงๆ เพื่อนของตัวเองที่ลงสมัครในจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือ เขาสอบตก เขาไม่ได้มาด้วย คนมาด้วยเป็นกลุ่มอื่น อาจจะจัดตั้งไว้แล้วหรือเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นพอถึงเวลาเลือกเขาก็เลือกนายสมชายน้อย เขารู้จักนายสมชายแค่นี้ นี่คือนายกฯ เขาก็เลือก 4 คะแนน แต่ที่เขาจับ เขาคุยกันแล้วว่าน้องมาจาลำปาง พี่มาจากแพร่ เดี๋ยวเข้าไปในกลุ่มเรานะ เราเลือกกัน ดังนั้นนี่คือโอกาสที่ทำให้นายสมชายไม่ผ่าน เพราะไม่มีคอนเน็กชั่นกับคนในกลุ่ม

นายไชยยงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตแม่ทัพภาค 4 ที่ได้เข้ามาเป็นสว.นั้น ไม่เกินคาด เพราะเป็นคนที่เพิ่งจะเกษียณ สังคมยังรู้จัก หลังเกษียณได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และกลุ่มที่เขาลงมันเป็นกลุ่มความมั่นคง กลุ่มราชการ กลุ่มทหาร ตำรวจ ดังนั้นทุกคนเลยเทคะแนนเสียงให้เขาได้มากกว่าเพื่อน เพราะทุกคนรู้จักเขา และเขาเป็นคนอัธยาศัยดี นอกจากนั้นตนคิดว่าคนในกลุ่มพร้อมใจกันที่จะเลือกเขาเพราะด้วยความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งความใหม่สดในการทำงาน
เมื่อถามว่าจะใช้หน้าที่ของ สว.ในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้อย่างไร นายไชยยงค์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนนำเสนอปัญหาในฐานะปัจเจกวิชาชีพหนังสือพิมพ์ แต่ถ้ามีตำแหน่งแห่งหน เช่น เป็น สว.แล้วเขามีงานด้านความมั่นคง เราก็สามารถเอาความรู้ของเรา มาทำให้มันเป็นเรื่องของปัจจุบัน และมีเครือข่ายที่พร้อมขับเคลื่อนร่วมกับเรา ตนหวังว่าตรงนี้เป็นช่องทางหนึ่งที่เราสามารถนำความจริงทั้งหมดในพื้นที่มาตีแผ่ได้ สิ่งที่ตนคิดไว้มากและคิดมานานที่สุดตลอด 20 ปีทีผ่านมาคือต้องการเห็นชุดความจริงเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้เพียงชุดเดียว และทุกคนที่มีหน้าที่ต้องจะต้องแก้ปัญหา คุณจะต้องเอาตำราพิชัยยุทธ์นี้ไป ไม่ใช่ว่า ศอ.บต. กอ.รมน. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างคนต่างหนีบความจริงไว้คนละชุด แล้วก็เชื่อในความจริงนั้นและแก้ปัญหาไปตามที่ตัวเองเชื่อ การแก้ปัญหาแบบนี้มันไมสิ้นสุด เพราะเราเห็นปัญหาทุกคน แต่เห็นกันคนละมุม ดังนั้นการแก้ปัญหาภาคใต้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมต้องถือความจริงเพียงชุดเดียว