จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการติดตามเร่งรัดการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด (ศปก.ครส.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม โดยเฉพาะในกรณีความร่วมมือกับต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ในการทำลายเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่แพร่หลายในทุกภูมิภาค และการลักลอบลำเลียงยาเสพติดโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน ยังคงพบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านการขนส่งทางพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ ผ่านการขนส่งทางอากาศ และซุกซ่อนในสินค้าต่าง ๆ ผ่านการขนส่งทางเรือ ซึ่งทางสำนักงาน ป.ป.ส. ได้มีโครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการสกัดกั้นการนำยาเสพติดเข้าประเทศและส่งออกไปยังประเทศที่สามอย่างมีประสิทธิภาพนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการติดตามเร่งรัดการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด (ศปก.ครส.) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ว่า ในวันนี้ตนและคณะทำงานจะร่วมกันเดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว เพื่อเข้าขอบคุณและหารือถึงผลการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวไทยรายสำคัญในคดียาเสพติด ซึ่งได้หลบหนีหมายจับของศาล โดยพบพิกัดล่าสุดว่าผู้ต้องหามีการซื้อบ้านอยู่ที่เวียงจันทน์ และอาศัยอยู่กับภรรยาชาว สปป.ลาว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สปป.ลาว ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาได้เรียบร้อยแล้ว ส่วนในวันที่ 28 มิ.ย. ตนจะได้นำตัวผู้ต้องหากลับไทย และส่งตัวดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยต่อว่า สำหรับผู้ต้องหารายสำคัญคนนี้ คือ นายปราโมทย์ ปิ่นประเสริฐ หรือปั๊ก ซึ่งเป็น ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ 53/2567 ลงวันที่ 5 ก.พ. 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และหมายจับที่ จ.55/2567 ลงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันมียาเสพติตให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย และการครอบครองนั้นเป็นการกระทำเพื่อการค้า ทำให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน และเกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนโดยทั่วไป

ส่วนพฤติการณ์ของนายปราโมทย์ (ผู้ต้องหา) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เผยว่า เนื่องมาจากช่วงต้นเดือน ม.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดในพื้นที่ จ.อุดรธานี ต่อมาได้มีการขยายผลพบว่าผู้ต้องหารายดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนายปราโมทย์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนในพื้นที่ จ.อุดรธานี ในเรื่องการจำหน่ายและค้ายาเสพติดประเภทยาบ้า ยาอี เคตามีน เป็นต้น โดยมีการสั่งซื้อนำเข้ามาจากบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และให้เครือข่ายลำเลียงผ่านรอยต่อบริเวณชายแดน จ.นครพนม เพื่อให้เกิดการกระจายซื้อขายยาบ้าใน จ.อุดรธานี และพื้นที่ภาคอีสานตอนบน เรียกได้ว่า เป็นผู้สั่งการ เป็นตัวการจัดหายาเสพติด และจัดหาผู้ลำเลียงยาเสพติด ลักลอบนำเข้ายาเสพติด ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่านายปราโมทย์ ได้ไปกบดานอยู่ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว และยังคงมีพฤติกรรมค้าขายยาเสพติดที่ สปป.ลาว อีกด้วย จึงได้ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินการต่อผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับคดียาเสพติดตามหมายจับของศาลไทย โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดกับประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 28 มิ.ย. ทางการ สปป.ลาว จะได้ส่งมอบตัวนายปราโมทย์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดอุดรธานี ให้แก่ทางการไทย ณ ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 (จ.หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทน์) เพื่อจับกุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ผอ.สำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 4 และคณะผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมร่วมกันแถลงถึงเบื้องหลังผลการจับกุม ผังเครือข่ายนายปราโมทย์ เงินหมุนเวียน ผลสอบปากคำ และแนวทางการยึดทรัพย์ต่อไป พร้อมตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน.