เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. พ.ต.อ.พงษ์พิเชษฐ์ นิลจันทร์ ผกก.3 บก.ทท.1 เปิดเผยว่า รับรายงานเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของตำรวจท่องเที่ยวท่องกองกำกับการ 3 ตำรวจท่องเที่ยว 1 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำหมายจับศาลอาญา รัชดา บุกไปจับกุม นายกฤษณะ (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี สาวประเภทสอง และน.ส.สุธาสินี (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดี “ร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์สินนั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” โดยจับกุมได้ในห้องพักย่านบางบอน กรุงเทพฯ ก่อนให้พาค้นห้องพบของกลาง ยาบ้า 132 เม็ด ไอซ์ 3.74 กรัม และวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 Alprazolam (ชนิดเดียวกับที่ใช้มอมยาผู้เสียหาย) อีกจำนวน 14 เม็ด สอบสวนเบื้องต้นทั้งสองให้การรับสารภาพ จึงนำตัวพร้อมของกลางส่ง สภ.หัวหมาก ดำเนินคดี

พ.ต.อ.พงษ์พิเชษฐ์ เผยอีกว่า สืบเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวชายชาวเยอรมนี ร้องทุกข์กับทางตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่า ก่อนจะเดินทางกลับประเทศถูกคนร้ายซึ่งเป็นสาวประเภทสองและเพื่อนสาวหญิงแท้อีกราย ร่วมกันมอมยาจนสลบ แล้วขโมยทรัพย์สินไปหลายรายการ มีทั้งเงินสด บัตรเคดิตและกล้องถ่ายรูป ซึ่งเหตุเกิดแถวสถานบันเทิงย่านสุขุมวิท และได้แจ้งความไว้ที่ สน.หัวหมาก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แต่คดีไม่คืบหน้า ซึ่งทางนักท่องเที่ยวเห็นว่าประเทศไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าเที่ยว แต่พฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นภัยต่อสังคมและทำลายการท่องเที่ยว จึงได้ร้องเรียนผ่านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

พ.ต.อ.พิงษ์พิเชษฐ์ เผยว่า จึงสั่งการให้ฝ่ายสืบสวนของตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ลงพื้นที่หาข่าวและเบาะแสของคนร้ายกระทั่งไปพบเบาะแสสำคัญคือภาพวงจรปิดภายในคอนโดที่พักของผู้เสียหาย ขณะที่สองผู้ต้องหาตามประกบเข้าไปในห้องพัก ฝ่ายสืบจึงไล่เรียงกล้องวงจรปิดจนทราบแหล่งกลบดานของสองผู้ต้องหารายนี้ จนประสานส่งตัวผู้เสียหายไปตรวจหาตัวยาที่ถูกมอมยาซึ่งผลจากการตรวจร่างกายของผู้เสียหายได้รับการยืนยันว่าพบตัวยา Alprazolam ในเลือดซึ่งเกิดจากการมอมยาฝ่ายสืบสวน จึงรวบรวมพยานหลักฐานและเสนอพนักงานสอบสวนสนหัวหมากเจ้าของคดีไปขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา รัชดา

ผกก.3 บก.ทท.1 เผยอีกว่า จากนั้นฝ่ายสืบสวนซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์และซุ่มโป่งดูความเคลื่อนไหวของทั้งสองไว้ กระทั่งได้หมายจับจึงนำกำลังบุกเข้าห้องพักจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองเอาไว้ได้ ซึ่งยอมรับว่าก่อเหตุจริงตามภาพและหลักฐาน โดยเฉพาะตัวยา Alprazolam ที่พบในห้องซึ่งเป็นตัวยาชิดเดียวกันที่ใช้ก่อเหตุมอมยาผู้เสียหาย โดยผู้ต้องหายอมรับว่าวันเกิดเหตุไปเจอกับผู้เสียหายริมถนนในขณะเดินอยู่ใกล้สถานบันเทิงในย่านสุขุมวิท จึงเข้าไปพูดคุยตีสนิทจนยอมให้ตามไปที่ห้องพัก จากนั้นใช้ยาผสมกับเครื่องดื่มให้ดื่มจนสลบไปและก่อเหตุชิงทรัพย์ดังกล่าวเอาเงินไปกินเที่ยวกัน และจากตรวจสอบประวัติโดยเฉพาะผู้ต้องหาที่เป็นสาวประเภทสองพบว่าเคยถูกจับกุมในคดียาเสพติดมาแล้ว ทั้งนี้มีการประสานและพูดคุยกับทางผู้เสียหายแล้วจนเป็นที่หน้าพอใจและผู้เสียหายขอบคุณทางตำรวจท่องเที่ยวที่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ในที่สุด