เรียกได้ว่ายังคงกลายเป็นประเด็นที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันล้นหลาม กรณีข่าวที่นักร้องแร็ปเปอร์ชื่อดังอย่าง “สไปร์ท ศุกลวัฒน์” ถูกค่ายเก่าฟ้องร้อง 3 คน ทั้งคุณพ่อคุณแม่ โดยเรียกเงินกว่า 14 ล้านบาท ซึ่งอ้างว่าผิดสัญญาว่าจ้างศิลปิน งานนี้ทำเอาแฟนคลับหลายคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสไปรท์สร้างผลงานดังไว้มากมาย แต่ทำไมถึงผิดใจกันจนต้องถูกฟ้องร้องเรียกเงินมากมาย พร้อมพากันร้องให้ทางค่ายชี้แจงประเด็นดังกล่าว ตามที่เคยได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ล่าสุดด้าน ทนายเจมส์-นิติธร แก้วโต ทนายความที่รับดูเเลเรื่องดังกล่าว ก็ได้ออกมาโพสต์เตือนผู้ปกครองที่อยากจะดันลูกเข้าวงการบันเทิงว่า มีหลักการพิจารณาสัญญาว่าจ้างอย่างไร จึงจะไม่ถูกเอาเปรียบจากค่าย โดยเขียนข้อความระบุว่า

หลักการพิจารณาง่าย ๆ ครับ ตอนที่นัดคุยกับเรา ค่ายมักจะหวานล้อมต่าง ๆ นานา อ้างผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิง หรือศิลปินดัง ๆ เพื่อเพิ่มเครดิตให้กับตัวเอง อ้างว่าจะทำอย่างนั้น อ้างว่าจะทำอย่างงี้ จะผลักดันอย่างนั้น อย่างนี้ จะพาเข้าช่องนั้น ช่องนี้ เพื่อให้เราตกลงอยู่ในสังกัดของค่าย

คราวนี้ถ้าสิ่งที่พูดให้เราฟังในวันนั้น ค่ายไม่ใส่ไว้ในสัญญาว่าจ้างนักแสดง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยครับว่า อาจจะไม่ใช่ของแทร่ อาจจะเป็นมิจ ไม่ใช่มิตร ในอนาคตเตรียมปวดหัวไว้เลยครับ ไม่โดนโกงค่าตัว ก็โดนดองงาน

อย่าลืมว่า ศิลปินในสังกัด ค่ายไม่มีเงินเดือนให้นะครับ ถ้ามีงาน มีรายได้ ก็ต้องแบ่งกันตามอัตราส่วนที่ตกลง 10-30% ของรายได้นักแสดง ก็ว่ากันไป แต่ถ้าไม่มีงาน ก็กินแกลบกันไป

ถ้าเราหลวมตัวเซ็นสัญญาทาสไป และค่ายไม่ทำตามที่พูดค่ายก็ลอยตัวครับ เพราะว่าไม่ได้ใส่ข้อตกลงที่ได้พูดกันในวันแรกลงในสัญญาไว้ จะเลิกสัญญา ก็เลิกยาก เพราะไม่มีข้อตกลงใด ๆ บังคับให้ค่ายต้องปฏิบัติตาม แต่ในส่วนของนักแสดงมีข้อตกลงที่จะต้องปฏิบัติมากมายละเอียดยิบ

หากนักแสดงอยากจะออกจากค่ายหรือย้ายค่ายใหม่ ก็ต้องจ่ายตังค์ค่าฉีกสัญญา ค่ายมักจะอ้างว่าลงทุนไปเยอะ (บางค่ายชี้แจงไม่ได้ว่าลงทุนอะไรไปบ้าง เป็นเงินเท่าไหร่ แต่อยากจะเอาค่ายกเลิกสัญญาเยอะ ๆ)

สุดท้าย เราก็ต้องจ้างทนาย เพื่อบอกเลิกสัญญา ซึ่งถ้าเราพิจารณาข้อสัญญาให้ดีตั้งแต่แรก จะเป็นการป้องกันปัญหาในอนาคตได้ดีกว่าครับ…

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : @ทนายเจมส์ LK