เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. เวลา 14.10 น. ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และ สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนี่งในงาน “แนวหน้า TALK ครั้งที่ 1” หัวข้อ “เมืองไทยวันนี้….มีอะไร” ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะครบรอบ 92 ปี ในวันที่ 24 มิ.ย. นี้ เราไม่ควรหวั่นไหว แต่ต้องทำให้ระบอบการปกครองนี้ราบรื่น เพราะเป็นระบอบที่ให้สิทธิประชาชนมีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ โดยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน แต่รัฐบาลปัจจุบันเลือกช่วยพวกตัวเอง มากกว่ายึดหลักนิติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยนักโทษ จึงทำให้หลักกฎหมายมีปัญหา และถ้าถามว่าวันนี้เมืองไทยมีอะไร ก็ขอบอกว่ายังมีคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

นายชวน กล่าวอีกว่า กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 วาระแรกในชั้นรับหลักการ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา แม้บอกให้เรารู้ว่าเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล 315 เสียง ยังมั่นคง แต่ในแง่สถานการณ์ต่อจากนี้ไปยังไม่แน่ เพราะมีกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ยื่นสอบจริยธรรมนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จากกรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ซึ่งต้องรอดูว่าผลการวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร ที่จริงเรื่องนี้น่าจะเป็นหน้าที่ของ สส. ยื่นร้อง แต่ สส. กลับไม่ยื่น ซึ่งอาจเห็นว่าไม่ผิด ก็ไม่เป็นไร แต่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรี หรือแม้แต่กระทั่งการแต่งตั้งบุคคลในองค์กรฝ่ายตุลาการ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ระบุอยู่ในแทบจะทุกตำแหน่ง

“กรณีที่นายเศรษฐา โดนร้องเรียน ผมคิดว่าท่านรู้และคงไม่อยากตั้ง แต่คนที่ขอมาเหนือกว่าท่าน ก็เลยต้องยอมตั้งคนนี้เข้าไป นายกฯไม่ใช่ว่ารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่ท่านไม่รู้แล้วทำ คือการแต่งตั้งผู้กำกับตำรวจ ที่ท่านเคยพูดในที่ประชุม สส.พรรคว่าสำหรับผู้กำกับที่ สส. ขอไปนั้นได้ไม่ทุกคน เพราะมากเหลือเกิน ซึ่งนั่นผิด ทำไม่ได้ ผมยังให้ความเห็นว่าน่าจะมีใครเตือนนายกฯ ว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมาย แต่รีบปฏิเสธกัน ผมเชื่อว่านายกฯ ไม่รู้ว่า สส. ของพรรคไปวิ่งเต้นเอาตำแหน่งข้าราชการไม่ได้” นายชวน กล่าว         

นายชวน กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่หุ้นตกหรือบ้านเมืองเกิดความไม่น่าเชื่อมั่นนั้น มาจากพฤติกรรมของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องมารับผิดชอบ ไม่ได้มาจากการมีบทบาทของ สส. ในสภา โดยเมื่อเทียบการอภิปรายในสภารอบนี้ กับในช่วง 4 ปีที่แล้ว พบว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง รอบนี้ไม่มีการพาดพิงรุนแรงต่อนายกฯ แต่ยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ นั้น ขยับไม่ได้เลย โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง อย่างไรก็ตาม 92 ปี ประชาธิปไตยเติบโตขึ้นมาตามลำดับ ในสภาปัจจุบันมีคนที่มีความรู้จำนวนมาก และมีความเปลี่ยนแปลงเป็นบวกมีมาก แต่มีทางลบด้วย คือธุรกิจทางการเมืองเข้ามาที่เป็นเหมือนโรคอุบัติใหม่ ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อเสียง ซื้อ สส. ซื้อพรรคการเมืองให้ใหญ่ขึ้น และคนเหล่านั้นไม่ยอมรับว่าใช้ประชาธิปไตยเป็นบันไดไปขึ้นสู่อำนาจ เมื่อสิ่งนี้เข้ามาเกี่ยวข้องก็ต้องคู่กับเลือกตั้ง นักการเมืองต้องมีเงินเพื่อมาเลือกตั้งให้ชนะ ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกระดับตามมา ประชาชนเบื่อหน่าย

“ธุรกิจการเมืองจะทำให้ประชาธิปไตยที่เรามุ่งหวังตามอุดมคติเกิดขึ้นได้ยาก ผมจึงบอกว่าแตะตรงไหนก็เจอคอร์รัปชั่น ถ้าไม่สามารถแก้อะไรได้ คุณภาพประเทศลดลง งบประมาณไปที่จะใช้พัฒนาบ้านเมือง แทนที่จะมั่นคงถาวรยาวนาน ก็จะใช้ได้เพียงระยะหนึ่งแล้ว ก็เสื่อมโทรม เพราะการคอร์รัปชั่นมีผลประโยชน์ที่ต้องจ่าย แต่คนไทยอย่าเพิ่งสิ้นหวัง อย่าเพิ่งเปลี่ยนค่านิยมที่ไม่ยอมรับคนโกงบ้านโกงเมือง” นายชวน กล่าว