กรณีเด็กหญิง 3 ขวบ หรือน้องอลิส จมน้ำเสียชีวิตเป็นปริศนาในหนองน้ำกลางทุ่งนา ต.คอนกาม อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยพบจุดนี้ห่างจากศูนย์เด็กเล็กเกือบ 800 เมตร

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 22  มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เข้าไปคุยกับ นางรจนา คำผาน อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นย่าของน้องออนิว อายุ 2 ปี 1 เดือน เพื่อนร่วมห้องของน้องอลิส ซึ่งอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ ภายใต้การดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลคอนกาม เปิดเผย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นวันเปิดเรียนวันแรก ตนได้รับแจ้งจากคุณตาภายในหมู่บ้านว่า เห็นน้องออนิวออกมาจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และบ่นกับตาว่า หิวน้ำ ตาจึงพาไปดื่มน้ำและพาไปส่งครูที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งในตอนนั้น ตนยังไม่เอะใจอะไร แต่หลังจากทราบจากชาวบ้านซึ่งเป็นคนงานทำหอระฆังภายในวัดว่า วันนั้น (16 พฤษภาคม 2567) น้องออนิวได้ออกมาจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก รวมกันทั้งหมด 3 ครั้ง ภายในวันเดียว และครั้งสุดท้ายตนเห็นด้วยตาตัวเองว่า น้องออนิว ออกมาจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จนเกือบถึงถนนใหญ่ ซึ่งหมายถึงออกมาถึงปากประตูบริเวณวัด หลังจากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ตนจึงเข้าไปอุ้มหลานของตนเพื่อให้หลับและแจ้งให้ทางครูดูแลเด็ก มารับ แต่ปรากฏว่า ครูให้คำตอบว่า กำลังทานข้าวอยู่เสร็จแล้วเดี๋ยวจะมารับ ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งแรกทำให้ตนถอดใจ ถึงขนาดที่จะไม่ให้น้องออนิวไปเรียนที่นั่นต่ออีก

 นางรจนา กล่าวต่อไปว่า จากนั้น เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา หลังจากตนทำภารกิจภายในหมู่บ้านเสร็จ เลยแวะไปดูน้องออนิว ว่าเป็นเช่นไร ขณะที่ตนเดินทางเข้าไปภายในวัด ปรากฏว่าเห็นน้องออนิว กำลังสะพายกระเป๋าเดินออกจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ออกมาจนเกือบถึงตรงพระใหญ่ ซึ่งตนก็ตกใจเป็นอย่างมาก ว่าทำไมถึงปล่อยให้หลานของตนออกมาจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ่อยเช่นนี้ แต่ในขณะนั้น ประจวบเหมาะ ที่ครูน้อยได้มาอุ้มเอาน้องออนิว กลับเข้าไปก่อน ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ด้วยความโมโหตนจึงแชทลงกลุ่มไลน์ผู้ปกครอง ว่า ทำไมถึงปล่อยให้หลานของตนออกข้างนอกศูนย์ฯ บ่อยเช่นนี้ ถ้าหลานของตนเป็นอะไร จะรับผิดชอบอย่างไร และจากการแชทลงกลุ่มดังกล่าว ครูน้อยได้ตอบกลับมาว่า เห็นน้องเดินออกไปอยู่ แต่อยากรู้ว่าน้องจะเดินไปไกลแค่ไหน

 นางรจนา กล่าวต่อไปอีกว่า น้องออนิวสนิทกับน้องอลิสมาก เล่นด้วยกันเป็นประจำ แต่โดยนิสัยที่ดื้อของน้องออนิว แม้จะอยู่บ้านตนก็ต้องระวังเพราะน้องชอบเดินไปเรื่อยๆ ตนก็ต้องตามเฝ้าดูไม่ให้ห่างสายตา ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตนมองว่า ครูนั้นปล่อยปะละเลย ไม่มีความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นทั้งสิ่งแวดล้อม รั้วกั้น กล้องวงจรปิด ไม่มีระบบป้องกันให้เด็กปลอดภัย และครูก็ทราบว่าไม่มีระบบความปลอดภัยภายในศูนย์ฯ แต่กลับไม่เอาใจใส่เด็ก ซึ่งตอนนี้ตนกับผู้ปกครองคนอื่นๆ ได้พูดคุยกันแล้วว่า จะไม่เอาลูกหลานไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้อีก ถ้าไม่มีระบบดูแลรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่านี้ และเปลี่ยนครูดูแลเด็กชุดปัจจุบันออก และหากไม่ทำตามคำขอของกลุ่มผู้ปกครองเรียกร้อง ก็ขอให้ปิดศูนย์ฯ ถาวร เพราะคงไม่มีคนไปเรียนอยู่แล้ว