เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง ประสานกำลังเจ้าหน้าที่ สสจ. ฝ่ายปกครอง และตำรวจ ร่วมกันเข้าตรวจสอบและจับกุมบุคคลที่แอบอ้างตัวเป็นแพทย์ ให้บริการลูกค้าภายในว้าวคลินิกเวชกรรม ตั้งอยู่ใน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบภายในคลินิก พบห้องบริการลูกค้าที่มีทั้งหมด 3 ห้อง ภายในห้องที่ 2 พบหญิงสาวชื่อ น.ส.อัน อายุ 30 ปี กำลังทำการฉีดโบท็อกให้กับลูกค้า ที่เป็นหญิงสาวอายุประมาณ 25 ปี ที่นอนอยู่บนเตียง และพบ น.ส.กวาง คอยควบคุมดูแลอยู่ข้างๆ

เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจยึดเข็มฉีดยาและตัวยาที่ให้บริการลูกค้า พร้อมทั้งตรวจค้นภายในตู้เย็นที่อยู่ภายในห้อง ตรวจยึดยาที่ใช้โบท็อก 1 ขวด ฟิลเลอร์ 1 ขวด และยาควบคุมพิเศษ(สเตียรอยด์) จำนวน 5 ขวด ซึ่งในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจยึดยาในคลินิกนั้น ปรากฏว่า น.ส.อัน ได้หนีขึ้นไปบนชั้น 2 และปีนหน้าต่างออกไปที่หลังคาเพื่อจะหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่เห็นก่อนจึงได้เกลี้ยกล่อมให้ลงมาได้อย่างปลอดภัย เพราะลงมาเองไม่ได้ ซึ่ง น.ส.อัน มีท่าทีหวาดผวา เจ้าหน้าที่จึงนำตัวเข้าห้องเพื่อพูดคุย และทำความเข้าใจถึงการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ น.ส.อัน จึงมีท่าทีอ่อนลง

น.ส.ชลิดา หรือต้นอ้อ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายในเรื่องของการร่วมลงทุน เนื่องจากเจ้าของกิจการ โพสต์ขายกิจการ ลงในเพจเฟซบุ๊กว่าจะเซ้งคลินิกเสริมความงามและเครื่องมือแพทย์ จึงได้ทักพูดคุยและได้พบกับเจ้าของกิจการเดิม โดยตกลงกันว่าจะซื้อกิจการต่อ พร้อมใบอนุญาตประกอบกิจการคลินิกเสริมความงามดังกล่าวในราคา 800,000 บาท จึงโอนเงินมัดจำงวดเเรกเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท และโอนเพิ่มอีกหลายครั้ง รวมแล้ว 130,500 บาท

“ระหว่างรอชำระเงินครบตามจำนวนที่ตกลง ผู้ร้องเรียนได้เข้ามาดูการดำเนินกิจการที่คลินิก จนเห็นการดำเนินการทั้งในเรื่องการผสมยา การให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์ และทราบอีกว่าคลินิกดังกล่าวไม่มีใบประกอบกิจการสถานพยาบาล และไม่มีหมอประจำคลินิก ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม จึงร้องเรียนมาที่มูลนิธิเป็นหนึ่ง หลังทราบเรื่องจึงพาผู้ร้องเรียนเข้าพบ นายแพทย์ สสจ.ขอนแก่น จากนั้นจึงวางแผนเข้าตรวจสอบและจับกุมหมอเถื่อน”

น.ส.ชลิดา กล่าวต่ออีกว่า ได้วางแผนให้มีคนเข้ามาใช้บริการฉีดโบท็อกที่คลินิคดังกล่าว โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนแสดงตัวว่าพาแฟนมาฉีดโบท็อก เมื่อทุกอย่างดำเนินการตามที่คลินิคจะให้บริการ จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบและจับกุมหมอเถื่อนขณะกำลังลงมือฉีดโบท็อกให้ลูกค้าคาเตียง

ขณะที่ นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า เจ้าของว้าวคลินิกแห่งนี้ ได้ยืนเรื่องขอปิดการดำเนินกิจการแล้วเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งแม้เจ้าของกิจการจะทำเรื่องปิดกิจการ แต่ในความเป็นจริงยังให้บริการอยู่ด้วยการรับลูกค้าจองผ่านเพจ และให้พนักงานในคลินิคที่อ้างตัวเป็นแพทย์ ทำการให้บริการกับลูกค้าตามที่ลูกค้าจองมา

ด้าน น.ส.อัน กล่าวว่า คลินิกแห่งนี้ เคยเปิดให้บริการถูกต้อง มีแพทย์มาให้บริการลูกค้า ส่วนตัวเองเคยเป็นพนักงานทั่วไปภายในคลินิก และลาออกเพราะจ่ายเงินเดือนไม่ตรง และทราบว่าเจ้าของเดิมจะเซ้งกิจการจึงลาออกไป หมอที่คลินิกจึงถอดใบอนุญาตออกไปด้วย ทำให้ที่คลินิกไม่มีแพทย์ ต่อมาเจ้าของคลินิกได้ติดต่อไปให้ช่วยมาดำเนินการฉีดยาให้ลูกค้า โดยมีเจ้าของคลินิกผสมยาและดึงยาให้ โดยจะให้ค่าจ้าง 10% จากผู้มาใช้บริการ 1 ราย โดยได้ดำเนินการในหน้าที่หมอในคลินิกแห่งนี้มาปาระมาณ 5 เดือนแล้ว และบางครั้งก็ไปฉีดหน้าให้ลูกค้าในบ้านพัก จะได้ค่าลงเข็มหรือค่าฉีดครั้งละ 500-1,000 บาท

“ส่วนการทำหน้าที่หมอเถื่อนนั้น ก็ไม่ได้วิตกกังวลว่า ลูกค้าจะมีความผิดปกติแต่อย่างใด เพราะคิดว่าหากเกิดการผิดพลาดทางคลินิกจะรับผิดชอบ และการปีนหน้าต่างชั้น 2 หนีออกไป เพราะตกใจกลัวว่าจะมีความผิด แต่สุดท้ายก็หนีไม่ได้ โดยจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี”

ขณะที่ น.ส.กวาง อายุ 35 ปี เป็นลูกจ้าง มาคอยต้อนรับลูกค้าให้กับเจ้าของคลินิก ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ส่วนการดำเนินการในคลินิกนั้นเจ้าของคลินิกเป็นคนจัดการทุกอย่าง แต่ยอมรับว่า หญิงสาวที่ให้บริการฉีดหน้าให้ลูกค้านั้น ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง แต่เป็นหญิงสาวที่เจ้าของนำมาทำหน้าที่แทนหมอเท่านั้น.