กรณี “เดลินิวส์” เสนอปัญหาการถือครองที่ดินของรัฐ และการประกอบธุรกิจวิลล่าหรูให้เช่าของชาวต่างชาติบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มาอย่างต่อเนื่อง โดยภายหลัง กอ.รมน.ภาค 4 นำโดย พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ได้สั่งการให้ พ.อ.ดุสิต เกสรแก้ว หัวหน้าชุดแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กองทัพภาค ที่ 4 เข้าดำเนินการ ด้วยการบูรณาการหน่วยงานบังคับใช้กฏหมายที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตรวจสอบ และพบว่าในหลายพื้นที่ มีการกระทำผิดในหลาย พ.ร.บ. อาทิ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร,พ.ร.บ.โรงแรม และ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าว โดยล่าสุดอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

4ฐานความผิด! ‘แม่ทัพภาค4’ มั่นใจเอาผิด ‘วิลล่าหรู’ ยอดเขาเกาะสมุย ได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. นายเนติพล ชุมยวง ผอ.สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำ จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า หลังเสนอข่าวของสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นการบุกรุกถือครองที่ดินและ ก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ลาดชันและแนวสันเขาในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย และทราบว่า กอ.รมน. ภาค 4 ได้เข้าดำเนินการหลังจากนี้เรื่องร้องเรียนและปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าอาจจะเข้าข่ายความผิดในหลาย พ.ร.บ . ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ประกอบกับตนได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการ ประชุมแก้ไขระดับจังหวัดระหว่าง กอ.นมน.ภาค 4 กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงยกเหตุอันควรสงสัย ตั้งเรื่องตรวจสอบข้อมูล โดยมีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ อ.เกาะสมุย ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลตามที่ปรากฏเป็นข่าว ในลักษณะเชิงรุก ซึ่งรับรายงานเบื้องต้นว่ามีมูล เข้าข่ายความผิดคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ป.ภาค 8 และ สำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงแนวทางการทำงานสืบสวนข้อมูล

นายเนติพล กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำ จ. สุราษฎร์ธานีมีคดี เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ป่า และคดีความผิดต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย ที่อยู่ระหว่างการสืบสวน 7 คดี โดย 1ใน 7 คดีนั้นเป็นข้าราชการระดับสูงในพื้นที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวของกับคดีทรัพยากร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณามูลฟ้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คาดว่าอีกไม่นานจะมีคำสั่ง ลงมาในการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ นั้น เราถือว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ ตัวการ ดังนั้นในการสืบสวนจะขยายไปถึงภาคเอกชน ซึ่งจะเข้าข่ายความผิดเป็นผู้สนับสนุน เพราะเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถทำความผิดเองได้ หากไม่มีผู้สนับสนุนตัวการหลัก ซึ่งภาคเอกชน จะต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของกฏหมายที่กำหนดด้วย

“ในการทำงานสืบสวนข้อมูลของ ป.ป.ช. จ.สุราษฎร์ธานี พบว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดของเกาะสมุยขณะนี้ คือปัญหาการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ซึ่งตนเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากความต้องการที่ดินทั้งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ และที่อยู่อาศัย และผลจากการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมา โดยเฉพาะการอนุญาตสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการออกใบอนุญาตต่างๆ เมื่อเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว สิ่งอื่นที่ตามมาก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ตนมีมีนโยบายการทำงานในเชิงรุก ให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกกับข้าราชการ ในการทำงานบังคับและควบคุมการใช้กฏหมายที่สุ่มเสี่ยงต่อการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เช่นในการออกใบอนุญาตต่างๆ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะกล่าวอ้างว่าไม่ทราบกฎหมายอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกฏหมายที่ตนเองบังคับใช้ไม่ได้ เพราะจะส่งผลต่ออำนาจหน้าที่ของตน อย่างเช่นกรณีการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะต้องมีการตรวจสอบให้รอบคอบ โดยเฉพาะพื้นที่ อ.เกาะสมุย มีกฎหมายหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจำเป็นต้องแสวงหาข้อมูล ไม่ใช่ตรวจสอบความถูกต้องแต่เพียงเอกสารบนโต๊ะทำงานแล้วเซ็นอนุญาต เพราะเมื่อพบความผิดที่จุดใดจุดหนึ่งก็จะโยงไปถึงจุดอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นการเข้าไปแก้ไขปัญหาของ กอ.รมน.ที่เป็นตัวกลางในการรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ตนมองว่าจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว และสามารถยับยั้งอนาคตได้ ตอนนี้เราทำงานตรวจสอบคู่ขนานไปกับการทำงานตรวจสอบของ กอ.รมน. เพราะสุดท้ายแล้ว กอ.รมน.ก็ต้องส่งสำนวนการสอบสวนให้กับ ป.ป.ช.ดำเนินการขั้นตอนต่อไป ดังนั้นการทำงานที่คู่ขนานกัน จะทำให้การแก้ปัญหารวดเร็วขึ้น” ผอ.ป.ป.ช.จ.สุราษฎร์ธานี กล่าว