ความคืบหน้าการสืบสวนคดีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำของเครือข่าย “โจ้ ปัตตานี” หายไปจากสะพานตำรวจน้ำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน. เปิดเผยความคืบหน้าว่า คดีนี้ในส่วนของความบกพร่องต่อหน้าที่ ทางพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กำลังสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการดูแลของกลางที่สูญหายไป รวมทั้งการติดตามเพื่อดำเนินคดีกับบรรดาลูกเรือที่หายไปกับเรือด้วย โดยส่วนนี้ทราบว่าทางทีมสืบสวนของกองปราบฯ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ

พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนหน้าที่ของ บก.รน. ก็คือการติดตามหาเรือของกลางที่สูญหายไปทั้ง 3 ลำ ซึ่งมีการประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาตลอด ส่วนกรณีที่มีรายงานข่าวว่า มีผู้พบเห็นเรือน้ำมันของกลางทั้ง 3 ลำไปอยู่ในน่านน้ำของประเทศกัมพูชานั้น เรื่องนี้มีการตรวจสอบแล้วยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ล่าสุดจากการประสานกันระหว่าง 4 ประเทศที่มีน่านน้ำติดกัน คือ กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย และประเทศไทย จนทำให้พอที่จะทราบว่าเรือทั้ง 3 ลำน่าจะยังลอยลำอยู่ในน่านน้ำที่เป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ค่อนออกไปทางทะเลหลวงใกล้ๆ กับน่านน้ำทะเลของประเทศมาเลเซีย ซึ่งตนได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนแล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ลูกเรือจะพาเรือไปถ่ายน้ำมันออก แล้วยอมทิ้งเรือไว้นั้น พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ กล่าวว่า จากสมมุติฐานราคาน้ำมันของกลางสามแสนลิตร ถ้าขายอยู่ในวงการน้ำมัน ราคาอยู่ที่ลิตรละ 10-12 บาทเท่านั้น ตีราคาทั้งหมดราคา ราวๆ 3 ล้านบาท ซึ่งถ้าในวงการจะรู้กันว่า ไม่ได้เยอะมาก แต่เรือของกลางจากสภาพล่าสุด พบว่าราคาสูง อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อลำ จึงเป็นไปได้ยากที่จะเอาแต่น้ำมัน แล้วทิ้งเรือไว้ เพราะมันไม่คุ้มค่า และน่าจะตัดประเด็นนี้ทิ้งได้เลย

พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ กล่าวถึงกรณีการพบเห็นคราบสีดำคล้ายๆ กับคราบน้ำมันลอยอยู่ในทะเลแถวพัทยาและหาดจอมเทียน จนเกิดข้อสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีเรือน้ำมันเถื่อนสูญหายหรือไม่นั้น ตนได้สั่งการให้ตรวจสอบแล้ว ทราบว่าคราบสีดำที่พบเห็นลอยอยู่ในทะเลนั้นปรากฏว่าเป็นน้ำเสียที่ถูกลักลอบปล่อยมาลงทะเล ซึ่งจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ต่อไป.