สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่า สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของเมียนมารายงานว่า รัฐบาลทหารเมียนมามีคำสั่งให้ประชาชนในหมู่บ้าน 15 แห่ง รวมราว 3,500 คน ที่ตั้งอยู่รอบเมืองซิตตเว ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐยะไข่ อพยพออกจากพื้นที่ภายใน 5 วัน ซึ่งครบกำหนดแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยให้ย้ายไปพักพิงชั่วคราว ที่ศูนย์ในเมืองซิตตเว
ทั้งนี้ กองทัพเมียนมาและกองทัพอาระกัน (เอเอ) สู้รบกันอย่างดุเดือดต่อเนื่อง ก่อนเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 แม้ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน หลังเกิดการยึดอำนาจ แต่สิ้นสุดไปเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว จากการที่กองทัพเมียนมากล่าวหากองกำลังอาระกัน ว่าโจมตีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
Junta troops ordered residents in western Myanmar, near the Rakhine state capital, to leave their villages ahead of anticipated attacks by the Arakan Army, an ethnic minority insurgent group that has been battling the military for control of territory. pic.twitter.com/EjldJa9CF7
— Radio Free Asia (@RadioFreeAsia) June 12, 2024
ขณะที่เอเอประกาศการยึดกองบัญชาการยุทธการทหารที่ 15 ตั้งอยู่ใกล้เมืองบุติด่อง ห่างจากเมืองซิตตเว ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐยะไข่ ออกไปทางตอนเหนือประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และสามารถควบคุมตัวทหารได้หลายร้อยนาย ซึ่งยอมจำนนเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
แม้กองทัพเมียนมายังคงยึดครองเมืองซิตตเวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แต่สูญเสียอิทธิพลเหนือเมืองหลายแห่งที่อยู่โดยรอบ รวมถึงฐานประจำการอีกหลายแห่ง ที่ตั้งอยู่ตามแนวพรมแดนติดกับบังกลาเทศและอินเดีย
ปัจจุบัน การสู้รบเกิดขึ้นในอย่างน้อย 15 จากทั้งหมด 17 เขตในรัฐยะไข่ และทำให้มีผู้พลัดถิ่นจากการสู้รบระลอกนี้ เพิ่มเป็นมากกว่า 300,000 คน นอกเหนือจากการที่กองทัพเมียนมาเปิดปฏิบัติการทางทหารในรัฐยะไข่ เมื่อปี 2560 ทำให้มีชาวโรฮีนจาลี้ภัยมากกว่า 1 ล้านคน และมีการฟ้องร้องที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลก ว่ากองทัพเมียนมาละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์.
เครดิตภาพ : AFP