ฮัลโหลๆ เทสต์ๆ ค่ะทุกคน อิชั้น “เสี่ยวเฟย” สาวน้อยหน้าใสหัวใจโต๊โตแห่งบ้านเลขที่ 1/4 แยก 8 มาประจำโชว์ความปัง ความเริ่ด ความวิเคราะห์ไปพร้อมๆ กับทุกคนแล้ว

จริงๆ ตลอด 1 อาทิตย์กว่าๆ ร่วม 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องราวร้อนแรงของวงการบันเทิงที่กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ของวงการมายาเราคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของนักร้องหนุ่มชื่อดัง “หนุ่ม กะลา” ที่ได้ทำการยื่นฟ้อง “จูน เพ็ญชุลี” อดีตภรรยา ในนามบริษัท โดยมีการกล่าวอ้างว่า ภรรยายักยอกเงินของบริษัท จำนวนเงินกว่า 66 ล้านบาท ไปใช้ในเรื่องราวส่วนตัว ทำเอาหลายๆ คนต่างให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยที่ผ่านมา ทนายของทั้ง 2 ฝ่าย ได้ออกมาสาดสงครามผ่านโซเชียลมีเดียอย่างไม่มีใครยอมใคร จนคนติดตามเรื่องราวนี้กันอย่างมากมาย

จะว่าไปหลายคนที่ติดตามเรื่องราวนี้ก็พากันตกใจและตั้งทีมกันสองฝั่งสองฝ่ายแบบชัดเจน ฟากคนรักพี่หนุ่ม ก็บอกชัดเจนเลยว่า พี่หนุ่มสงสัยภรรยาผิดกฎหมายอย่างไร ในเมื่อทุกคนสามารถคิดเห็นเองได้ โดยเป็นอิสระ บ้างก็บอกว่าแม้เป็นภรรยาหรือตามกฎหมายคือคนๆ เดียว ก็มีสิทธิสงสัยเรื่องมรดกหรือเงินทองได้ เป็นเรื่องปกติ ขณะที่ฝั่งแม่จูนก็ฟาดพี่หนุ่มแบบแซ่บๆ เหมือนกันว่าผิดหวัง และหน้าที่ดูแลครอบครัวที่สมบูรณ์ควรเป็นฝ่ายชายทั้งหมด บ้างก็บอกว่าแค่ตนเองมีคนอื่นก็เหมือนไม่โอเคแล้ว ซึ่งก็อย่างที่พูดนานาจิตตัง แล้วแต่คน แล้วแต่ความคิด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด แต่แค่ต้องมีขอบเขต ไม่ต่อว่า หรือกล่าวร้ายคนในข่าวให้เขาเสียหาย ไม่ว่าจะอคติส่วนตัวหรือใดๆ ก็ไม่มีสิทธิใส่ร้ายกันแค่นั้นก็น่าจะโอเคแล้ว

แต่ที่หลายพูดถึง นอกจากความคิดเห็นของแต่ละคนแล้ว ที่ต้องมองมุมใหญ่ แง่ใหญ่และมุมกว้างมากกว่าเดิม คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของการเป็น “คนสาธารณะ” ที่ต้องคิดให้ดี และกระทำให้ดี เพราะนั่นหมายถึง “ชื่อเสียง” และ “อนาคต” ของคุณต่อไปด้วย อย่างที่บอก คนเรามีสิทธิในการคิดเห็นและมีสิทธิใช้ชีวิตของตนเอง แม้ดาราหรือคนในข่าวเองก็เป็นเช่นกัน มันเป็นสิทธิพื้นฐานที่ควรได้รับ ต้องห้ามไปกล่าวโทษเขาว่าเขาไม่มีสิทธิทำโน้นทำนี่ ทุกคนทำได้หมดตามที่เขาต้องการ แต่เมื่อทำแล้วเขาก็ต้อง “ทำใจยอมรับ” กับ “ผล” ที่จะตามมาด้วย

เพราะยิ่งแสงส่องมาที่ “ดาราหรือนักร้อง” หรือใครก็ตามที่มากเกินไป คุณก็ต้องยิ่งมี “สติ” และความ “รู้ตัว” มากกว่าคนอื่นเท่านั้น

จริงๆ อย่างประเด็นเรื่องส่วนตัวของ หนุ่ม กะลา และอดีตภรรยานั้น ถ้าจะมองเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ในการมีรัก โลภ โกรธ หลง ก็คงไม่ผิด เพราะศิลปินก็เป็นคนมีความรักและรู้สึก อย่างที่บอก เมื่อคุณอยู่ในแสงไฟ คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า คนทั้งประเทศต้องพุ่งตรงมองไปที่คุณ และไม่ใครก็ใคร ย่อมพูดถึงคุณทั้งในแง่ดีและไม่ดี ทางที่ดี ที่คนเตือนกันเรื่อง “คุยหลังไมค์” เคลียร์ให้จบ คุยแต่พอดี และอย่า “สาดสีใส่กันผ่านสื่อ” น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ทุกฝ่ายทำได้

เพราะไม่แน่ว่า การกระทำของทั้งสองคนสามีภรรยาในนี้ พอเวลาผ่านไป เมื่อมองย้อนกลับมาในอนาคต คุณอาจจะพบว่า สิ่งที่คุณกำลังทำผ่านสื่ออยู่นี้ มันไม่มีผลดีอะไรเลยกับ “ชื่อเสียง” และ “ชีวิต” ของคุณเลย

ก็อย่าที่บอก “สงครามสมรส” ให้มันเป็นเพียงชื่อละครก็พอ อย่ามันมาถ่ายทอดในชีวิตจริง เพราะหลายคนอาจจะพูดในทางเสียหายได้ ยังไงก็อวยพรให้เจรจา (หลังไมค์) กันได้นะคะ จะได้จบสักที และขาเผือกจะได้กินอิ่มนอนหลับแบบเต็มตาสักที สวัสดี

เสี่ยวเฟย