เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า ในฐานะเป็น อสส. ในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีอาญานอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ไม่เคยมีใครสั่ง ข่มขู่ โน้มน้าว ชักจูง ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนครับ”

ด่วน! อสส.สั่งฟ้อง ‘ทักษิณ’ คดี ม.112 แต่ติดโควิดให้เลื่อนไปเป็น 18 มิ.ย.นี้

นอกจากนายตระกูล ยังโพสต์ตอบคอมเมนต์ ภายหลังโพสต์ ความว่า “ท่าน อสส.พงษ์นิวัฒน์ เป็นคนสั่งฟ้อง หลังจากที่ผมเป็นคนสั่งให้มีการสอบสวนดำเนินคดีนี้ ครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานงานเลี้ยงฉลองบวช นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ ลูกชายของนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (นายเบี้ยว) นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงการถูกดำเนินคดี 112 ว่าการทำคดีแต่ละข้อกล่าวหาตั้งแต่ต้นที่มีการข่มขู่ ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนโดยผู้บังคับบัญชา

สำหรับคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ที่บัญญัติไว้ว่า ให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือจะมอบหมายหน้าที่นั้น ให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทนก็ได้ ซึ่งนายตระกูล อัยการสูงสุดในขณะนั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจการสอบสวนหรือสั่งตั้งพนักงานสอบสวนได้

โดยประวัติการขึ้นดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดของนายตระกูล ช่วงที่ คสช.ยึดอำนาจใหม่ๆ ได้มีประกาศ ฉบับที่ 62/2557 ให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุดในขณะนั้นไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้นายตระกูล วินิจนัยภาค รอง อัยการสูงสุด ลำดับที่ 1 รักษาราชการแทน จนต่อมามีการตั้งนายตระกูล เป็นอัยการสูงสุด โดยคำสั่ง คสช. (ภายหลังนายตระกูลเป็นผู้สั่งฟ้องคดีจำนำข้าว) สร้างความไม่พอใจให้กับอัยการจำนวนมาก กรณีมาแทรกแซงองค์กร จนภายหลังมีการเลือกตั้ง ก.อ.แทน และ ปธ.ก.อ.ตามกฎหมายใหม่ พนักงานอัยการก็เทคะแนนเลือกนายอรรถพลอย่างล้นหลาม