เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 67 นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สถาบันกัญชาทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์ ให้ความเห็นเรื่องความพยายามนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด ว่า แน่นอน เมื่อมันเกิดขึ้น มันจะกระทบกับผู้ป่วยจำนวนมาก ที่ใช้กัญชารักษาตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ คนที่มาถึงจุดนี้ เพราะเขาป่วย หรือมีอาการที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่หายแล้ว บางคนคุณหมอขอให้กลับบ้าน ไปนอนรอวาระสุดท้ายที่บ้าน แต่คนไม่อยากตาย ก็ต้องสู้ต่อ

“ผมเคยเจอคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ หมอหมดทางแล้วจริงๆ คนไข้กลับบ้าน ไปหาแพทย์ทางเลือก ใช้กัญชารักษา ปลูกกัญชาใช้เองที่บ้าน ปรากฏว่าอยู่มาได้ แบบนี้แพทย์ทางหลักต่องมีคำอธิบาย ไม่ใช่ว่าจะกล่าวโทษกัญชาอย่างเดียว กล้าพอไหม ที่จะพูดว่า กัญชา มีแต่โทษ หาประโยชน์ไม่ได้เลย ผมเชื่อว่า ไม่มีใครพูด เพราะทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ว่ากัญชามีประโยชน์มาก แต่ต้องใช้ให้เป็น แล้วเรามาไกล เราเรียนรู้แล้ว ถ้านำกลับไปเป็นยาเสพติดอีก ก็ล้าหลังอีก” นพ.ชนินทร์ กล่าว

นพ.ชนินทร์ กล่าวต่อว่า  ที่ชาวบ้านใช้แล้วได้ผลคือ น้ำมันกัญชาสูตร “ลุงตู้ วัดจอมทอง” สูตรนี้เข้มข้นกว่าสูตรขององค์การเภสัชกรรม เรียกว่าใช้ได้ผลจริง ส่วนที่มีการบอกว่า ยากัญชาใช้ไม่ได้ผล เพราะไปใช้สูตรที่มันเจือจางมาก ตรงนี้ก็ต้องพูดความจริง ว่าทำไมใช้ไม่ได้ผล ไม่ใช่ว่าพูดอย่างเดียวว่าใช้ไม่ได้ผล แล้วไม่ลงไปดูที่รายละเอียดสำคัญ

“กัญชา มันเป็นสมุนไพร ใช้ง่าย สอนง่าย เรียนง่าย นอกจากจะใช้โดยหมอพื้นบ้าน บางสูตรประชาชนไปทำยาเองได้เลย อาทิ สูตร “ลุงดำ เกาะเต่า” ตอนนี้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก็นำมาต่อยอด กัญชามีประโยชน์ ตอนปลดล็อก แพทย์ทางหลักยังหันมาสนใจ เข้าเรียนหลักสูตรกันเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นทางเลือกด้านการรักษาพยาบาล แล้วประเทศไทย มีองค์ความรู้อยู่แล้ว นี่คือเวลาแห่งการพัฒนา เพื่อเป็นสากล แล้วอยู่ดีๆ ก็จะเลิกเสียเฉยๆ เพราะไปเชื่อคนมีอคติ” นพ.ชนินทร์  กล่าว

เมื่อถามว่า แต่ฝ่ายค้านกัญชา เป็นห่วงเยาวชน และคนไทย เพราะมองว่ากัญชามีอันตรายต่อสมอง  นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า อะไรก็ตาม ใช้มากเกินไป ย่อมมีปัญหา อะไรก็ตามล้วนมี 2 ด้าน รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ก็ชนคนตายได้ ทำไมไม่ไปแบนบ้าง กัญชา ถ้าใช้เป็นย่อมมีประโยชน์ วิธีการคือออกกฎหมายควบคุม ก็เห็นว่ามีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แล้ว  ทำไมไม่ไปต่อ เพราะการเมืองขวางการเมืองรึเปล่า กลัวเพื่อนจะมีคะแนนมากกว่า ไม่นึกถึงประชาชน.