เมื่อเวลา 15.10 น. วันที่ 7 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทรา ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.ป., พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่ง รอง ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.สุพจน์ น้อยสวรรค์ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ป. และ พ.ต.ต.อาธิรัตน์ ทิพย์เจริญ สว.กก.3 บก.ป. พร้อมด้วย นายณภัทร เทอดไท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.เกียรตินาคินภัทร แถลงผลทลายขบวนการเต็นท์รถ ทำเอกสารปลอมหลอกกู้ไฟแนนซ์รถยนต์ มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้าน

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อช่วง มิ.ย. 66 ผู้เสียหายตัวแทนจากธนาคารเกียรตินาคิน ได้แจ้งความร้องทุกข์ว่าคนร้ายนำเอกสารปลอมมายื่นขอสินเชื่อรถยนต์กับทางบริษัทจนหลงเชื่อ และอนุมัติสินเชื่อให้แก่คนร้ายไป ต่อมาภายหลังปรากฏว่าคนร้ายได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่ทางผู้เสียหายได้อนุมัติสินเชื่อไปจำนวนหลายคัน ทางผู้เสียหายจึงต้องมีการติดตามรถยนต์คืนและทำการตรวจสอบเอกสารของผู้เช่าซื้อรถ พบว่ามีผู้เช่าซื้อจำนวน 34 ราย ที่มีการใช้เอกสารปลอมมายื่นขอสินเชื่อจนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย มูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลขอหมายจับจำนวน 59 หมาย กระทั่งเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่นำหมายเข้าจับกุมตัว น.ส.ทิพย์นิดาหรือก้อย (สงวนนามสกุล) ได้ที่บ้านแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา จากการเข้าตรวจค้นห้องพบหลักฐาน คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ, สัญญาการเช่าซื้อ พร้อมสำเนาคู่มือ, รายการเดินบัญชีเช่าซื้อรถยนต์ เป็นเอกสารเกี่ยวกับการทำเอกสารรถหลายรายการ, แผ่นป้ายทะเบียนที่บ้านจำนวน 80 ป้าย พบ 8 ป้ายเป็นป้ายทะเบียนปลอม จับกุมพร้อมพวกได้ จำนวน 29 คน ตรวจยึดรถยนต์ รวมจำนวน 24 คัน จากนั้นนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น น.ส.ทิพย์นิดาหรือก้อย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยผู้ต้องหาบางส่วนให้การรับสารภาพว่าให้ น.ส.ทิพย์นิดาหรือก้อย เป็นผู้ดำเนินการทางเอกสารให้ทั้งหมด บางส่วนทราบว่าเอกสารที่ทำเป็นเอกสารที่ปลอมทั้งหมด และบางส่วนปฏิเสธ เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอมมีหน้าที่เซ็นตามคำบอกของ น.ส.ทิพย์นิดาหรือก้อย

ขณะที่นายณภัทร กล่าวว่า หลังพบพฤติกรรมการปลอมแปลงเอกสารจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ และกังวลว่าหากไม่ดำเนินการ พฤติกรรมดังกล่าวจะคงอยู่ และอาจส่งผลให้ประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เดือดร้อนไปด้วย ต้องขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สืบสวนจนจับกุมผู้กระทำผิดได้ ส่วนการเยียวยาผู้เสียหายนั้นสามารถเข้ามาพูดคุยกับธนาคารได้เป็นรายๆ ได้เป็นแต่ละกรณีไป.