สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่ายูนิเซฟรายงานว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มากกว่า 1 ใน 4 ของโลก หรือ 181 ล้านคน กำลังประสบปัญหาความยากจนทางอาหารที่รุนแรง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบด้านลบต่อการเติบโตและพัฒนาการ

“ความยากจนทางอาหารแสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก และได้รับสารอาหารเพียง 2 หมู่หรือน้อยกว่านั้น” ดร.แฮเรียต ทอร์เลสส์ ผู้เขียนรายงาน ระบุ “มันน่าตกใจที่ทุกวันนี้ปัญหายังเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่เรารู้ตัวว่าควรจัดการอย่างไร”

ยูนิเซฟแนะนำว่าเด็กเล็กควรรับประทานอาหารให้ครบ 5-8 หมู่ในแต่ละวัน อาทิ นมแม่, ธัญพืช, พืชหัว, ถั่วและเมล็ดพืช, นม, เนื้อสัตว์, สัตว์ปีก, ปลา, ไข่, และผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 440 ล้านคน ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางเกือบ 100 แห่ง กำลังเผชิญกับความยากจนทางด้านอาหาร โดยมีเด็กถึง 181 ล้านคน ที่ได้รับประทานอาหารเพียง 2 หมู่ “เด็กซึ่งบริโภคอาหารเพียง 2 หมู่ต่อวัน เช่น ข้าวและนมบางส่วน มีแนวโน้มเผชิญกับภาวะทุพโภชนาการขั้นรุนแรงถึงร้อยละ 50” นางแคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารของยูนิเซฟ ระบุในแถลงการณ์ ซึ่งภาวะทุพโภชนาการอาจนำไปสู่ภาวะผอมแห้งที่ถึงแก่ชีวิต

แม้เด็กเหล่านี้จะมีชีวิตรอดและเติบโตขึ้น แต่ “พวกเขาไม่เจริญเติบโตอย่างแน่นอน และจะเรียนหนังสือได้ไม่ดีนัก” ดร.ทอร์เลสส์กล่าว “เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ การหารายได้จะยากขึ้น ส่งผลให้เกิดวงจรแห่งความยากจนจากรุ่นสู่รุ่น” เธออธิบายเพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณนึกถึงสมอง, หัวใจ และระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีความสำคัญต่อกลไกป้องกันโรคของร่างกาย ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับวิตามิน, แร่ธาตุ และโปรตีน”

ความยากจนทางอาหารอย่างรุนแรงในเด็กกระจุกตัวอยู่ใน 20 ประเทศ และสถานการณ์ย่ำแย่มากที่สุดในโซมาเลีย ซึ่งมีเด็กได้รับผลกระทบร้อยละ 63, กินี ร้อยละ 54, กินี-บิสเซา ร้อยละ 53 และอัฟกานิสถาน ร้อยละ 49 แม้ไม่มีข้อมูลในประเทศที่ร่ำรวย แต่เด็ก ๆ ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ก็ประสบปัญหาช่องว่างทางโภชนาการเช่นกัน

ขณะเดียวกัน สถานการณ์อาหารและสุขภาพในฉนวนกาซา “ล่มสลาย” นับตั้งแต่สงครามปะทุ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 โดยระหว่างเดือน ธ.ค. 2566 จนถึงเดือน เม.ย. 2567 ยูนิเซฟพบว่า 9 ใน 10 ของเด็กในกาซาต้องทนทุกข์ทรมานจากความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรง

มากไปกว่านั้น ควรมีการพิจารณาระบบแปรรูปอาหารทั่วโลกใหม่ เนื่องจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและอาหารแปรรูปสูงกำลัง “ทำการตลาดอย่างก้าวร้าวกับผู้ปกครองและครอบครัว” และสร้างบรรทัดฐานในการเลี้ยงลูกใหม่ “อาหารเหล่านี้มีราคาถูก ให้แคลอรี, พลังงาน, เกลือ และไขมันสูง ทำให้พวกเขาอิ่มท้องและปราศจากความหิว แต่ไม่ได้ให้วิตามินและแร่ธาตุที่เด็กต้องการ” เด็ก ๆ จะได้รับรสชาติของน้ำตาลและความเค็มเร็วเกินไป ส่งผลกระทบต่อนิสัยในการรับรสเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ และทำให้เกิดโรคอ้วน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES