หมายถึงผลิตภัณฑ์ บริการ หรือเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อใช้สำหรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ บรรเทา หรือเพิ่มความยืดหยุ่นต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าได้อย่างยั่งยืน

 “พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ทุกประเทศและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน ซึ่ง Climate Tech เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษา McKinsey คาดการณ์ว่า Climate Tech อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 60% ของปริมาณการปล่อยทั้งหมด ซึ่ง Climate Tech ยังเป็นภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลกในอนาคต โดย Statista ซึ่งเป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลสถิติหลายประเด็นทั่วโลก คาดการณ์ว่า ในปี 2566 ตลาด Climate Tech ทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า ทำให้ในปี 2576 อาจมีมูลค่าสูงถึง 1.83 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 24.5% ต่อปี

นอกจากนี้ McKinsey ระบุว่า Climate Tech จะช่วยพัฒนาศักยภาพและโอกาสทางการค้าและการลงทุนของแต่ละประเทศ เนื่องจาก Climate Tech อาจช่วยดึงดูดเงินลงทุนทั่วโลกได้มากถึง 1.5-2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2567 ซึ่งการเติบโตของตลาด Climate Tech เป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น กระตุ้นความต้องการเทคโนโลยีสำหรับป้องกันและแก้ไขปัญหา, ความตระหนักของผู้บริโภค ทำให้ความต้องการสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น, นโยบายและมาตรการภาครัฐ ที่สนับสนุนการเงิน ลดหย่อนภาษี ส่งเสริมการลงทุน อำนวยความสะดวกด้านกฎหมาย รวมถึงกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, กลไกราคาคาร์บอน ซึ่งช่วยกระตุ้นภาคเอกชนให้หาแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ Climate Tech โดยเฉพาะระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และระบบขนส่งสาธารณะ

Climate Tech ยังสร้างโอกาสด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนานวัตกรรมสำหรับแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างงานผลิต การติดตั้ง และการบำรุงรักษา การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร รวมถึงโอกาสในการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ เช่น บริษัท Climeworks จากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นธุรกิจบริการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ได้พัฒนาเครื่องมือและวิธีการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บอากาศโดยตรง สามารถนำไปใช้ชดเชยคาร์บอนฟุตพรินต์ และช่วยให้แต่ละประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้ บริษัท Sonnen จากเยอรมนี ให้บริการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน และก่อตั้ง SonnenCommunity ที่รับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนเกินจากครัวเรือนในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อนำไปใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง และบริษัท Nest จากสหรัฐอเมริกา ในเครือของ Google เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าสำหรับบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) รวมถึงให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลนิสัยของผู้อยู่อาศัยด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และจัดทำตารางเวลาสำหรับปรับอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อลดการใช้พลังงานและลดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน.