สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์พิเศษ กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศจากหลายสำนัก วิจารณ์การที่ตะวันตกยังคงไม่หยุดสร้างภาพลักษณ์ และการรับรู้ให้กับชาวโลกว่า “รัสเซียคือศัตรู” มีแต่จะเป็นอันตรายย้อนศรกลับไปยังอีกฝ่ายเท่านั้น


ปูตินเน้นย้ำว่า รัสเซียไม่เคยมี “ความใฝ่ฝันเกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยม” และไม่เคยมีแผนเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี กับดินแดนของประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต )


อย่างไรก็ตาม หากรัสเซียเป็นฝ่ายถูกคุกคามหรือถูกโจมตีก่อน รัฐบาลมอสโกไม่ลังเลที่จะตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ตามหลักการด้านนโยบายของประเทศ และกล่าวว่า จนถึงตอนนี้ สหรัฐเป็นประเทศแห่งเดียวบนโลก ซึ่งใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในสงคราม กล่าวคือ การโจมตีเมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น ในช่วงปลายสงครามโลก เมื่อปี 2488


เกี่ยวกับการสู้รบในยูเครน ปูตินกล่าวว่า การที่บรรดากลุ่มประเทศตะวันตกเดินหน้าเรียกร้อง และอนุญาตอย่างเป็นทางการ ให้กองทัพยูเครนใช้อาวุธซึ่งได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายตะวันตก ในการโจมตีเป้าหมายที่อยู่ในรัสเซีย “เป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรง” และเป็นเจตนากระตุ้นความรุนแรงด้วย เนื่องจากอาวุธเหล่านั้นมีความซับซ้อน และยังคงจำเป็นต้องมีการควบคุมโดยบุคลากรของตะวันตก


ผู้นำรัสเซียกล่าวด้วยว่า เมื่ออีกฝ่ายมองว่า การจัดส่งอาวุธลักษณะนี้เข้าสู่สมรภูมิ “เป็นความชอบธรรม” ดังนั้น รัฐบาลมอสโกมีสิทธิที่จะตอบสนองในระดับเดียวกัน ด้วยการติดตั้งอาวุธบนดินแดน ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานโจมตี “สถานที่เปราะบาง” ของประเทศซึ่งต้องการโจมตีแบบเดียวกันกับรัสเซีย


ขณะเดียวกัน ปูตินกล่าวว่า ฝ่ายตะวันตกยังคงเจตนาเพิกเฉย ที่จะกล่าวถึง “ต้นเหตุแท้จริง” ของสงครามครั้งนี้ ซึ่งยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. 2565 นั่นคือ “การปฏิวัติไมดาน” โค่นอำนาจประธานาธิบดีและรัฐบาลนิยมรัสเซีย เมื่อปี 2557 ซึ่งปูตินกล่าวว่า สหรัฐอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมด

นอกจากนั้น ปูตินทิ้งท้ายว่า เคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมากับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าสงครามในยูเครนสามารถยุติได้ภายใน 2-3 เดือน หากสหรัฐยุติการมอบความสนับสนุนด้านอาวุธให้แก่ยูเครน.

เครดิตภาพ : AFP