เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.จากกรณี นายวรุต ขำเขนก ผอ.มูลนิธิเพื่อให้โอกาส อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พา น.ส.เอ (นามสมมุติ)ซึ่งเป็นเด็กที่เคยดูแลมาก่อน เดินทางมาแจ้งความที่ สภ.เมือง บุรีรัมย์ หลังจาก น.ส.เอ ซึ่งมีพื้นเพอยู่ในเขต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิฯสถานที่ที่เคยอยู่มา 7 ปี ว่า ถูกแม่แท้บังคับให้ขายบริการให้กับผู้ชาย เพื่อเอาเงินไปซื้อยาบ้ามาเสพ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ได้ไปพบ น.ส.กัลยา  อายุ 44 ปี แม่เด็ก อายุ 22 ปี ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งใน ต.กระสัง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

น.ส.กัลยา เล่าว่า จริงๆแล้วตนกำลังตามหาลูกสาวมากกว่า  เพราะหายออกจากบ้านไปเมื่อ 2 วันก่อนไม่คิดว่าลูกจะไปที่มูลนิธิฯที่เคยอยู่ สาเหตุที่ลูกสาวไปที่มูลนิธิฯคาดว่าน่าจะเกิดอาการทางจิตเวช  เพราะเคยไปรักษาและรับยามากินเป็นประจำ จากคำบอกเล่าของลูกที่กล่าวหาว่าตนพาไปขายบริการนั้นไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น คาดว่าลูกน่าจะเอาเหตุการณ์ที่ประสบมาคือมักจะถูกผู้ดูแลบ้านพักชวนไปหลายครั้ง ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนเรื่องการเสพยานั้นตนยอมรับว่าเสพจริง

น.ส.กัลยา เล่าด้วยว่า สาเหตุที่ลูกต้องไปหาคนเฝ้าหอพัก เพราะไปขอเข้าห้องน้ำ ที่ห้องคนดูแลหอพัก เนื่องจากตนกับลูกสาวขออาศัยอยู่หน้าห้องพัก เพื่อรอเงินจากสามีเอามาจ่ายค่าเช่าก่อนเข้าไปอยู่จำนวนเงิน 6,000 บาทคือเช่าเดือนละ 3,000 บาท จ่ายล่วงหน้า 3,000 บาท รวมเป็น 6,000 บาท ทำให้ไม่มีที่เข้าห้องน้ำลูกสาวจึงไปขอเข้า คนดูแลหอชื่อจำรัส อายุ 62 ปี และคาดว่าน่าจะถูกผู้ดูแลหอกระทำอนาจารระหว่างไปเข้าห้องน้ำ เพราะเคยให้เงินกับลูกมา 400 บาท ซึ่งตนเคยห้ามแล้ว

สาววัย22สุดอาภัพ พ่อแท้ๆขยี้กามตั้งแต่12ขวบ เคราะห์ซ้ำแม่บังคับขายตัวซื้อยาบ้า

ขณะที่นางสาวรตะวรรณ อายุ 38ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามห้องเช่า เล่าว่าเห็นครอบครัวนี้มาอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน แต่เข้าไปในห้องไม่ได้ เพราะยังไม่ได้จ่ายค่าเช่า อาศัยหลับนอนอยู่หน้าห้องเช่าเพื่อรอเงินจากสามีเอามาจ่ายค่าเช่าและค่ามัดจำห้อง จำนวนเงิน 6,000 บาท ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นแม่เด็กทำร้ายเด็กแต่อย่างใด ไม่เคยแม้จะดุด่า มีแต่จะออกตามหาเวลาลูกหายไป