เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่สนามกีฬากลาง จ.สมุทรปราการ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวถึงแนวทางพูดคุยรับฟังความคิดเห็นจากผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ว่า มีระบบการรับฟังอยู่ โดยกฎหมายใดที่เขาสู่สภา ก็จะถามความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้านความมั่นคงต้องถามไปที่เหล่าทัพ ซึ่งกองทัพก็จะมีระบบรับฟังความคิดเห็นของกองทัพอยู่ อย่างน้อยที่สุด เมื่อเรื่องเข้าสู่สภากลาโหม ก็จะฟังผู้นำทางทหาร หรือเมื่อเรื่องเข้าสู่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็จะพิจารณาในส่วนความมั่นคงด้วย

เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกล โจมตีกิจกรรมของกองทัพในการส่งวิทยากรทหารไปบรรยายเรื่องสถาบันหลักของชาตินั้น นายสุทิน กล่าวว่า เขาคิดแคบ ในเรื่องของการศึกษา การปลูกจิตสำนึก และเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติของคน ซึ่งมันมีกระบวนการตามหลักวิชาการในการปลูกฝังค่านิยมอยู่ โดยฝ่ายค้านต้องไปศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ ซึ่งตรงนี้ไม่แปลก และไม่มีปัญหาอะไร จะให้ใครมาเป็นวิทยากรก็ได้ เพราะครูเขาจะมีวิจารณญาณว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ทั้งนี้ ตนคิดว่าการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ ซึ่งประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ความสำเร็จและความล้มเหลวจากในอดีต เพราะอดีตรับใช้ปัจจุบัน และปัจจุบันเอาไปใช้วางแผนในอนาคต

“เขาคิดมุมเดียว ในมุมที่ว่าก้าวหน้าอย่างเดียว โดยลืมข้างหลัง เพราะเป้าหมายเขาวางไว้ข้างหน้า แม้กระทั่งเรื่องแนวคิดการเคารพพ่อแม่” นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน ยังกล่าวถึงการสอบถามความคืบหน้าทางคดี ที่กองทัพบกฟ้องร้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตามฐานความผิดมาตรา 112 ว่า ไม่เคยถาม ซึ่งก็เป็นเรื่องทางคดีไป ทั้งนี้ ตนไม่ทราบว่ากองทัพบกเป็นคนฟ้อง แต่เมื่อฟ้องแล้วก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาก็เคารพตามกระบวนการยุติธรรมของทุกฝ่าย 

เมื่อถามว่าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะไม่เข้าไปล้วงลูกใช่หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ไม่ได้ล้วง และจะไปล้วงอะไรได้ เพราะเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว และไม่ว่าจะเป็นทหารหรือใครก็ไปล้วงไม่ได้ ปล่อยให้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมไป.