จากกรณีที่กรมราชทัณฑ์ได้ประสานไปยัง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองบังคับการปราบปราม สำหรับภารกิจรับตัวนายเชาวลิต ทองด้วง หรือแป้ง นาโหนด (ผู้ต้องขังรายสำคัญก่อเหตุหลบหนีออกจากสถานคุมขัง รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 22 ต.ค.66) จากท่าอากาศยานนานาชาตินครศรีธรรมราช เพื่อย้ายไปคุมขังยังเรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี ในวันที่ 5 มิ.ย. เวลา 09.00 น. โดยขอให้จัดกำลังหนุมานกองปราบฯ พร้อมอาวุธครบมือเป็นชุดควบคุมตัว จำนวน 4 นาย ประกบผู้ต้องหาบนอากาศยานกองบินตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เพื่อเดินทางไปยังท่าอากาศยานทหารดอนเมือง ปลายทางเรือนจำกลางบางขวาง ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 5 มิ.ย. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจากนายยุทธนา นาคเรืองศรี ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง ถึงขั้นตอนการรับตัวนายเชาวลิต ทองด้วง หรือแป้ง นาโหนด ว่า สำหรับขั้นตอนในการควบคุมตัว เมื่อนายเชาวลิตเข้าสู่เรือนจำกลางบางขวางแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนทั่วไป โดยจะเป็นไปตามกระบวนการ ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตรวจร่างกายผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังเข้า-ออกเรือนจำ พ.ศ. 2561 ดังนี้ เมื่อเรือนจำฯ ได้รับตัวผู้ต้องขังย้ายเข้าใหม่แล้วให้เจ้าพนักงานเรือนจำที่รับตัวให้ตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นบุคคลตามชื่อที่ปรากฏในหมายอาญาที่ระบุให้มีการย้ายตัวมายังสถานคุมขังจริงหรือไม่ หรือเอกสารอันเป็นคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฏหมายหรือไม่ ประกอบด้วย การตรวจสอบชื่อนามสกุลและเลขประจำตัวประชาชนของผู้ต้องขัง ตามที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชน และพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องขัง และเทียบความถูกต้องกับลายพิมพ์นิ้วมือที่ส่งมา จากนั้นเมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าผู้ต้องขังที่รับตัวมาเป็นบุคคลเดียวกับบุคคลตามหมายอาญา หรือเอกสารคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ให้ดำเนินการ “จัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง” ในวันที่รับตัว โดยมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังนี้ ชื่อ-นามสกุล ผู้ต้องขัง / เลขประจำตัวประชาชน หรือเอกสารแสดงตนของผู้ต้องขังเท่าที่ทราบ / ข้อหาหรือฐานความผิดที่ผู้นั้นได้กระทำ / พิมพ์ลายนิ้วมือ หรือสิ่งแสดงลักษณะเฉพาะของบุคคล และตำหนิรูปพรรณ / สภาพร่างกายและจิตใจ ความรู้ ความสามารถ

นายยุทธนา เผยอีกว่า เมื่อจัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเสร็จสิ้นแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจค้นตัวและสัมภาระ ถัดไปจะเข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองโรค โดยเจ้าหน้าที่พยาบาล หรือผู้ที่ผ่านการอบรมด้านงานพยาบาลของเรือนจำฯ ดำเนินการตรวจสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้ต้องขังและสอบถามเรื่องโรคประจำตัว ยารักษาโรคต่าง ๆ อีกทั้งจะมีการบันทึกรายงานเกี่ยวกับบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังก่อนเข้าเรือนจำฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อใช้ยืนยันว่าผู้ต้องขังได้มีลักษณะบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยมาก่อนที่จะเข้าไปในเรือนจำหรือไม่ และผู้ต้องขังจะต้องเซ็นชื่อกำกับการบันทึกดังกล่าวด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง ท้ายสุดผู้ต้องขังจะถูกแยกไปทำการกักโรคโควิด-19 ที่ห้องกักโรคของสถานพยาบาลภายในเรือนจำฯ ระยะเวลา 5 วัน เนื่องจากนายเชาวลิต เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอินโดนีเชีย และก่อนหน้านี้ก็มีการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาะบาหลี เมืองเมดาน เป็นต้น ส่วนระหว่างการกักโรค (ห้องเดี่ยว) จะไม่ได้อยู่ร่วมกับผู้ต้องขังใหม่ เพราะเรือนจำกลางบางขวาง เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง ไม่ค่อยมีการรับตัวผู้ต้องขังใหม่รายวัน เว้นแต่ในวันนั้นจะมีผู้ต้องขังโทษประหารชีวิตย้ายมา จากนั้นเมื่อกักโรคโควิด-19 ครบกำหนดระยะเวลาไม่พบว่ามีเชื้อโควิด-19 ทางคณะทำงาน นำโดยผู้บัญชาการสถานการณ์ที่มีนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน จะพิจารณาว่าควรนำตัวนายเชาวลิตไปคุมขังยังแดนขังใด

นายยุทธนา เผยด้วยว่า ประการสำคัญที่จะแยกคุมขังนายเชาวลิตไปยังแดนใดนั้น คณะทำงานโดยนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และในฐานะผู้บัญชาการสถานการณ์ จะมีการพิจารณาร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ เนื่องจากเรือนจำกลางบางขวาง เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง มีการรับตัวผู้ต้องขังอัตราโทษสูง คดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงจากทั่วประเทศมาอยู่ที่นี่ ดังนั้น จึงยังไม่สามารถสรุปผลในตอนนี้ได้ว่านายเชาวลิตจะถูกคุมขังแดนใด อีกทั้งเจ้าตัวมีการพัวพันหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีพยายามฆ่า คดีต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงาน คดีทำร้ายร่างกายผู้อื่น คดีหลบหนีออกจากสถานคุมขัง และคดียาเสพติด เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักการปกติที่เรือนจำฯ จะต้องตรวจสอบว่าภายในมีโจทก์หรือเครือข่ายเก่าหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ต้องขังบางรายเคยไปข้องเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวของผู้ต้องขังอื่นๆในแดนมาก่อน (ชู้สาว) หรือเคยไปมีเหตุเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก่อน ทั้งจี้ จับ ปล้น บังคับขืนใจ จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาพอสมควร

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงเช้าวันนี้ เวลา 09.30 น. สำหรับวาระงานของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พบว่าจะมีผู้แทนทางการอินโดนีเซีย จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย จำนวน 9 นาย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ ณ ห้องรับรอง ชั้น 3 อาคารกระทรวงยุติธรรม โดยผู้แทนทางการไทยที่ให้การต้อนรับ อาทิ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นต้น.