เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.67 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้นำคณะกรรมการและที่ปรึกษาบอร์ด พร้อมด้วยนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ และผู้บริหาร กทท. ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) และลงพื้นที่ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อรับทราบปัญหา และติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการถมทะเล เพื่อเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานให้ โครงการสามารถแล้วเสร็จตรงเวลา เป็นไปตามกรอบระยะเวลาของสัญญาที่ได้ทำไว้

พร้อมทั้งได้เดินทางไปตรวจการดำเนินงาน รับทราบปัญหาเพื่อแก้ไขให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการให้บริการขนส่งตู้สินค้าเชื่อมต่อทางเรือเข้ากับทางรถไฟ ของ Single Rail Transfer Operator : SRTO ซึ่งหากการดำเนินการมีประสิทธิภาพในการให้บริการ จะช่วยให้การขนส่งสินค้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้น เป็นการลดปริมาณการขนส่งทางถนนลง ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์ในการลดต้นทุนการขนส่ง logistics ในระบบการขนส่งสินค้าของประเทศโดยรวม ด้วยการบูรณาการ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางน้ำกับทางราง ที่มีต้นทุนถูกกว่า ให้ไร้รอยต่อแบบ Seamless Multimodal Transport ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

นอกจากนี้คณะฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของบริษัท ฮัทชิสัน เทอร์มินัล จำกัด ณ ท่าเทียบเรือชุด D รวมถึงรับทราบการนำระบบรถบรรทุกไร้คนขับ autonomous truck ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ในการปฏิบัติการ เพื่อยกระดับศักยภาพความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย Green Transport ตลอดถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้รับบริการของท่าเรือดังกล่าวในปัจจุบัน และมีแผนที่จะขยายการให้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับการลงพื้นที่ติดตามงานก่อสร้างในส่วนของงานถมทะเล ในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 3 ผู้แทนกลุ่มผู้รับเหมางาน ในกลุ่มกิจการร่วมค้า CNNC ได้รายงานความคืบหน้าของการดำเนินงาน ที่ปัจจุบันได้มีการเร่งรัดเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยได้เพิ่มแรงงาน เครื่องจักร และเรือขุด Grab Dredger เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน ทำให้ปัจจุบันมีขีดความสามารถในการขุดดินได้วันละ 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานก่อสร้างถมทะเลที่แล้วเสร็จ ในพื้นที่ F1 ของโครงการฯ ให้แก่ กทท.ได้ทันภายในเดือนก.ค.นี้

นายชยธรรม์ กล่าวว่า แม้ว่าตัวแทนผู้รับเหมาจะรายงานว่าได้ดำเนินการเร่งรัดงานขุดและถมทะเลด้วยการเพิ่มเครื่องจักรและแรงงานแล้ว แต่จากรายงานของผู้ควบคุมงานพบว่า ปัจจุบันผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้างในแต่ละสัปดาห์ ยังมีความล่าช้าจากแผนฯอยู่ จึงได้กำชับให้ผู้บริหาร กทท.ใส่ใจติดตามคุณภาพการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุในสัญญาจ้างควบคู่ไปกับการเร่งรัดแก้ปัญหาในรายละเอียดกับกลุ่มผู้รับเหมากิจการร่วมค้าฯ เพื่อให้งานแล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยเป้าหมายสำคัญต่อไปคือ งานก่อสร้างถมทะเลต้องแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบพื้นที่ F และพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 3 ทั้งหมดให้ กทท. ได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่ระบุในสัญญา เพื่อให้ กทท.สามารถส่งมอบพื้นที่ถมทะเลที่แล้วเสร็จดังกล่าว ให้กับผู้รับสัมปทานได้ตามสัญญาสัมปทาน ที่ กทท. ได้เซ็นไว้กับผู้รับสัมปทาน เพื่อทำการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ได้แล้วเสร็จตามแผนฯต่อไป

สำหรับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการขนส่งหลากหลายรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขนส่งทางน้ำที่มีความสำคัญและถือเป็น gateway ในการขนส่ง นำเข้าและส่งออก สินค้าระหว่างประเทศ เป็นส่วนช่วยสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นรากฐานในการสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่ง Logistics Hub ของภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

“ที่สำคัญในการลงพื้นที่และประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ครั้งนี้ได้พบว่า แผนยุทธศาสตร์ แผนแม่บทการพัฒนาและแผนปฏิบัติการของการท่าเรือฯ รวมถึงแผนแม่บทการพัฒนาของท่าเรือแหลมฉบังจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยกำหนดโจทย์ให้กับผู้บริหารการท่าเรือฯ ไปเร่งรัดดำเนินการร่วมกับพันธมิตรท่าเรือชั้นนำในต่างประเทศของ กทท.เพื่อให้สามารถกำหนดเป็นแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการที่ทันสมัย สอดรับกับเป้าหมาย นโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล นำเสนอบอร์ด คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นชอบ นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” นายชยธรรม์ กล่าว