ประเทศไทยเข้าสู่ยุคซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นเรื่องปกติไปแล้ว โดยเฉพาะในช่วงโควิด -19 ระบาด จนทำให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เรียกว่าในปัจจุบัน แทบจะหาได้น้อยคนที่ไม่เคยซื้อสินค้าออนไลน์เลย!!

ทำให้ “ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ” ในไทยเฟื่องฟู่ อย่างต่อเนื่อง คนไทยหันมาเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” อย่างเต็มตัว หรือทำเป็นอาชีพเสริมกับงานประจำมากขึ้น เรียกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคที่สินค้าออนไลน์ “ ซื้อกันกระจุย ส่งกันกระจาย” จริงๆ

อย่างไรก็ตามการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และมีผลต่อเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ “ดิจิทัล อีโคโนมี” ที่ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย!?!

ภาพ pixabay.com

ทาง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ เอ็ตด้า ก็ได้จัดทำรายงาน เปิดผลสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2566 หรือ   Value of e-Commerce Survey in Thailand 2023 มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย!?!

“ชัยชนะ มิตรพันธ์” ผู้อำนวยการ เอ็ตด้า  บอกว่า รายงานผลการสำรวจฯ ที่จัดทำขึ้น เพื่อให้ประเทศมีข้อมูล สะท้อน สถานภาพและทิศทางการพัฒนาอีคอมเมิร์ซของประเทศ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็กและ รายใหญ่ ที่นำไปเป็นฐานข้อมูลประกอบการวางแผนธุรกิจ กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงเพื่อให้ภาครัฐ นำไปเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาทิศทางการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการได้สอดคล้องกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น

การสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซจากกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ได้สำรวจจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต, อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง, อุตสาหกรรมการขนส่ง, อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก, อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร, อุตสาหกรรมการประกันภัย, อุตสาหกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ และอุตสาหกรรมการบริการด้านอื่น ๆ รวมกว่า 3,440 ราย ตั้งแต่เดือนตุลาคม–ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา

ชัยชนะ มิตรพันธ์

ซึ่งผลสำรวจพบว่า จากข้อมูลในปี 2565 ประเทศไทยมีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ อยู่ที่ 5.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปี 2564 ที่มีมูลค่า 5.17 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.05 ประกอบด้วยสัดส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซแบบ B2C มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.7  รองลงมาคือ B2B ร้อยละ 37.8 และ B2G ร้อยละ 10.5 ตามลำดับ

ทั้งนี้เมื่อพิจารณามูลค่าอีคอมเมิร์ซรวม โดยจำแนกรายอุตสาหกรรม พบว่า อุตสาหกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง ยังคงครองแชมป์มีมูลรวมมากที่สุด อยู่ที่ 2.83 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการค้าปลีก 1.53 ล้านล้านบาท และ อุตสาหกรรมการค้าส่ง 1.30 ล้านล้านบาท

รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิต 6.99 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการขนส่ง 5.52 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการให้บริการที่พักและอาหาร 4.28 แสนล้านบาท และ อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 2.99 แสนล้านบาท

ภาพ pixabay.com

โดยช่องทางการขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหนีไม่พ้น e-Marketplaces อยู่ร้อยละ 24.58 (อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการขายผ่านช่องทางดังกล่าวมากที่สุด ได้แก่ การค้าปลีกและค้าส่ง รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิต และบริการที่พักและอาหาร ตามลำดับ) รองลงมาคือ การขายผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของกิจการเอง ร้อยละ 23.60 และ Social Commerce มากสุดคือ Facebook รองลงมาคือ TikTok และ Instagram ร้อยละ 22.25

  ขณะที่เรื่องการจ่ายเงินนั้น ประเภทของช่องทางการชำระเงินที่ถูกเลือกใช้งานมากที่สุด คือ Mobile/Internet Banking สัดส่วนร้อยละ 68.12 ของช่องทางทั้งหมด รองลงมาคือ เก็บเงินปลายทาง ร้อยละ 7.92 เพราะตอบโจทย์ ผู้บริโภครายได้น้อยและต้องการตรวจสอบสินค้าก่อนชำระเงิน และสั่งจ่ายผ่านเช็ค ร้อยละ 6.93 โดยนิยมมากในกลุ่มธุรกิจด้วยกัน

เมื่อดูช่องทางการขนส่งสินค้า พบว่า SME นิยมใช้มากสุดคือ ธุรกิจขนส่งสินค้าในประเทศ ร้อยละ 41 เนื่องจากความเร็วในการจัดส่งสินค้าและต้นทุนต่ำจึงเลือกใช้ช่องทางนี้มากที่สุด รองลงมา ไปรษณีย์ไทย ร้อยละ 32 เนื่องจากให้บริการครอบคลุมพื้นที่ขนส่งครอบคลุมทั่วประเทศไทยและมีความปลอดภัยสูง

ในขณะที่ธุรกิจระดับ Enterprises นิยมเลือกใช้ บริษัทจัดส่งสินค้าด้วยตนเองร้อยละ 63 เพราะต้องการ ควบคุมเวลาและคุณภาพของสินค้าในการส่ง รองลงมาคือ บริษัทจัดส่งสินค้าในประเทศร้อยละ 38 ตามลำดับ

ภาพ pixabay.com

นอกจากนี้ยังได้มีการ คาดการณ์ว่า มูลค่าอีคอมเมิร์ซของไทยจะพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยปี 2566 จะขึ้นไปแตะถึง 5.96 ล้านล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่จะมาแรง และมีมูลค่าอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นมากที่สุดที่น่าจับตา คือ อุตสาหกรรม การประกันภัย จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงร้อยละ 31 รองลงมา อุตสาหกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ ร้อยละ 24 และอุตสาหกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง ร้อยละ 13 ตามลำดับ!!

“ปัจจัยภายในที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าส่งผลต่อมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุด ได้แก่ การสร้าง Customer Experience ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การเพิ่มช่องทางการให้บริการ การจำหน่าย การชำระเงิน แม้กระทั่งการเลือกขายสินค้า และบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อมูลค่า   อีคอมเมิร์ซมากที่สุด ได้แก่ ภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความสามารถในการซื้อสินค้าออนไลน์ พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่หันมาซื้อสินค้า ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกและคล่องตัว ในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึง ความพร้อมของใช้งาน อินเทอร์เน็ต ที่มีความเร็วและครอบคลุมทุกพื้นที่ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่าง ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ผ่านช่อง ทางออนไลน์”

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าจับตาก็คือ การประยุกต์ใช้ Technology  เช่น Affiliate Marketing หรือ การตลาดออนไลน์ที่มีตัวแทนในการช่วยขายสินค้าหรือบริการ และจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบ Commission เป็นสาเหตุหลักที่ช่วยผู้ประกอบการในการเพิ่มยอดขายมากถึงร้อยละ 50

 ถือเป็นยุคทองของอีคอมเมิร์ซไทย ที่ยังการมีการเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าในปีต่อๆไปตัวเลขน่าจะทะลุ 6   ล้านล้านบาทได้ไม่ยาก!?!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์