ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา มีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน โดยวางกรอบการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 33 บาท ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.-31 ก.ค. 67 ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สิ้นสุดเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งวันที่ 31 พ.ค. ราคาน้ำมันดีเซลกลับเต็มเพดานราคา ตามที่ประชุม ครม. ได้กำหนดเพดานกรอบราคาไว้ เร็วกกว่ากรอบเวลาที่รัฐบาลประกาศไว้ถึง 31 ก.ค. หรือเร็วกว่าถึง 2 เดือนทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาต่อไปว่า รัฐบาลจะออกมาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซลอย่างไรต่อไป ท่ามกล่างภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในภาวะผันผวน      

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ล่าสุดคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติตรึงราคาอัตราชดเชยราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ลิตรละ 1.40 บาท  เพื่อรักษาสภาพคล่องกองทุนฯ ในภาวะราคาน้ำมันตลาดโลกยังผันผวน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลต้องปรับขึ้นอีกลิตรละ 0.50 บาท เป็นลิตรละ 32.94 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. เป็นต้นไป เป็นการปรับขึ้นเต็มกรอบเพดานราคาที่ ครม.ตรึงราคาไว้ไม่เกินลิตรละ 33 บาท เป็นการทยอยปรับขึ้นตั้งแต่หมดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ต้องเร่งหาแนวทางในการดูแลราคาน้ำมันดีเซล ในภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกยังผันผวนหลังจากนี้ เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพประชาชนมากนัก

ทั้งนี้เบื้องต้นวางไว้ 3 แนวทาง คือ 

1.ขอมติ ครม.ให้ขยับเพดานกรอบราคาน้ำมันดีเซลใหม่ เพื่อให้สะท้อนต้นทุนราคาน้ำมันตลาดโลก อาจจะกลับไปกรอบเพดานราคาเดิมไม่เกินลิตรละ 35 บาท ในปี 65 ที่มีภาวะสงครามรัสเซีย–ยูเครน ทำให้เกิดวิกฤติด้านราคา แต่ขณะนี้แม้ไม่ใช่วิกฤติด้านราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่เป็นวิกฤติด้านสถานะกองทุนฯ เอง ล่าสุดฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิฯ วันที่ 26 พ.ค. 67 ติดลบ 111,345 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,655 ล้านบาท ส่วนก๊าซฯ แอลพีจี ติดลบ 47,690 ล้านบาท

2. รอการจัดสรรงบประมาณโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแล้วเสร็จ แล้วจะขอความร่วมมือให้กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอีกครั้ง

3. ของบกลาง ดูแลราคาน้ำมันดีเซล เพื่อลดผลกระทบค่าครองชีพประชาชน

“ดูทั้ง 3 แนวทางแล้ว แนวทางดีที่สุด คือ แนวทางแรก ขยับกรอบราคาดีเซลขึ้นไปเป็นลิตรละ 35 บาท เพราะเป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันตลาดโลก และยังเป็นการแก้ปัญหาสภาพคล่องของกองทุนฯ ที่ยังติดลบหนักเกินแสนล้านบาทอยู่ ส่วนแนวทางที่ 2 เหมือนเป็นการเจียดกระเป๋าซ้าย ไปยังกระเป๋าขวา ขณะที่แนวทางที่ 3 ตอนนี้งบประมาณมีไม่เยอะ จะยิ่งเป็นการสร้างภาระให้กับรัฐบาลเข้าไปอีก ต้องดูต่อไปว่า รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป”