“ตะวัน ทะลุวัง” หรือ นักโทษคดีทางการเมือง ม.112 หลังได้รับคืนอิสรภาพแล้วเมื่อ สน.พระราชวัง ให้ประกันพร้อมพ่วง 7 เงื่อนไขห้ามกระทำผิดซ้ำ หลังอายัดตัวดำเนินคดี สนับสนุนพ่นกำแพงวัดพระแก้ว แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธทุกข้อหา ไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ และวางหลักทรัพย์ 20,000 บาทตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 ทางด้านตะวันก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความตัดพ้อถึง บุ้ง รุ่นพี่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยเขียนข้อความระบุว่า “พี่บุ้งเคยพูดกับหนูว่า นี่แหละ เราต้องสู้เพื่อทุกคน ไม่ใช่สู้เพื่อแค่นักโทษการเมือง พี่บุ้งพูดกับหนูตอนเรานั่งคุยกันถึงเหตุการณ์ที่ผู้คุมทำร้ายร่างกายและด่าทอผู้ต้องขัง เรานั่งคุยกันปนความตลกร้ายว่าทั้ง ๆ ที่เราอดน้ำอดอาหารมาแล้วหลายวัน แต่เรายังมีแรงฮึดลุกขึ้นมาปะทะวาจากับผู้คุมคนนั้นเพื่อช่วยผู้ต้องขัง”

“มีผู้ต้องขังคนนึงเดินเข้ามาคุยกับเรา ถึงเหตุการณ์วันนั้นว่าทีแรกเขาคิดว่าเราเป็นผู้ต้องขังจิตเวชที่โวยวายเสียงดัง เพราะเขาไม่รู้ว่าเราโวยวายว่าอะไร เพื่ออะไร เราหลุดหัวเราะออกมาที่เขาคิดว่าเราเป็นจิตเวช หลังจากนั้นเรานั่งคุยกับเขาว่าวันนั้นเราโวยวายว่าอะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร จนท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจพวกเรา เช่นเดียวกันกับผู้ต้องขังหลายคนที่ได้คุยกับเราทั้งคู่”

“เหมือนกับผู้คนในสังคมข้างนอกเลยเนอะพี่บุ้ง เขาได้ยินแค่ว่าเราโวยวายเสียงดังก้าวร้าว แต่คงต่างกันที่ผู้คนภายนอกโลกกว้างไม่ได้มานั่งคุยกับเราเหมือนผู้ต้องขังภายในโลกที่คับแคบอย่างคุก แต่พี่บุ้งมักจะพูดเสมอว่าพี่บุ้งไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับพี่บุ้ง พี่บุ้งสนใจแค่ว่าพี่บุ้งจะสู้เพื่อทุกคน”

“ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ใจร้ายจังเนอะ คืนหนึ่งหนูผวาหวาดกลัวว่าจะมีคนมาทำร้าย จนความดันขึ้นสูงจากเหตุการณ์ที่เขามาอุ้มพี่บุ้งออกจากรพ.ราชทัณฑ์ กลับไปทัณฑสถานหญิงกลาง คืนนั้นหนูผวาจนความดันขึ้นสูง ส่วนพี่บุ้งอ้วกเป็นเลือด และอ้วกเป็นเลือดอยู่เป็นอาทิตย์ กว่าเขาจะส่งตัวพี่บุ้งกลับไปรพ.ราชทัณฑ์ และกว่าเขาจะส่งตัวพี่บุ้งไปรพ.ธรรมศาสตร์”

“จนแล้วจนเล่า เขาก็ยังใจร้ายกับเราไม่หยุด เขาเอาพี่บุ้งกลับจากรพ.ธรรมศาสตร์ ไปรพ.ราชทัณฑ์ ทั้ง ๆ ที่อาการและผลเลือดพี่บุ้งยังไม่ได้ปกติเลย หนูขอกลับไปสู้กับพี่บุ้งที่รพ.ราชทัณฑ์ พี่บุ้งบอกหนูว่าพี่บุ้งไม่อยากให้หนูตามกลับมาเลย เพราะมันทั้งร้อนและลำบาก แต่เราสู้มาด้วยกันไงพี่บุ้ง ร้อนก็ต้องร้อนด้วยกัน ลำบากก็ต้องลำบากด้วยกันสิ”

“มีอยู่วันนึงหนูหยิบสมุดของพี่บุ้ง แล้วก็เหลือบไปเห็นข้อความที่พี่บุ้งเขียนไว้ในสมุดว่า เมื่อใดที่เราหยุดสู้เพื่อคนอื่น คือช่วงเวลาที่เราสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว หนูยิ่งมั่นใจว่า พี่บุ้งเป็นพี่บุ้งที่สู้เพื่อคนอื่นมาเสมอ”

“แค่สามเดือนกว่าเอง มันกลับเหมือนฝันร้ายที่ยาวนานเลย แต่ความเป็นจริงที่พี่บุ้งไม่อยู่แล้ว มันตอกย้ำกับหนูว่ามันไม่ใช่แค่ฝันร้าย หลายครั้งที่หนูตื่นมาแล้วเข้าใจว่าพี่บุ้งยังอยู่ แต่ก็ต้องจบลงด้วยการต้องมานั่งทบทวนและยอมรับความเป็นจริงว่าพี่บุ้งไม่อยู่แล้ว แล้วเมื่อไหร่หนูจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้สักที”…