เมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ โดยมี ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ เป็นประธานที่ประชุม

“ผมได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า เมื่อครั้งทำหน้าที่รักษาการประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ทำรายงานการศึกษา เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของประชาชนในชาติ ผลของการศึกษามีสาระโดยสรุปว่า “ให้มีการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิด หรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีการเมือง หรือคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ยกเว้นคดีทุจริต เว้นแต่กระบวนการพิจารณาคดีทุจริตนั้นไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม และไม่นิรโทษกรรมคดีความผิดตามมาตรา 112” นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานการศึกษาดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์ และทุกพรรคการเมืองที่ให้ความเห็นชอบกับรายงานการศึกษาดังกล่าวก็ยังอยู่ในสภาชุดปัจจุบันครบถ้วน ดังนั้น จึงควรนำรายงานการศึกษาดังกล่าว มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะคดีความผิดตามมาตรา 112 ที่เป็นประเด็นความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน

นายชวลิต กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้วมีความเห็นสรุปว่า ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่ซับซ้อน และแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้น การสร้างกติกาและการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี และความปรองดอง สมานฉันท์ของประชาชนในชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด โดยเห็นว่าถึงเวลาที่ควรนำคุณธรรม “อภัย” มาใช้ในการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการมีการนิรโทษกรรมคดีการเมือง และคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ยกเว้นคดีทุจริต เว้นแต่กระบวนการพิจารณาคดีทุจริตนั้นไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

ส่วนคดีความผิดตามมาตรา 112 ที่ประชุมเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงเสนอความเห็นโดยยึด “รัฐธรรมนูญ” เป็นหลัก ทั้งนี้ ควรดำเนินการแก้ปัญหาใน 2 แนวทางไปพร้อม ๆ กัน คือ คดีความผิดตามมาตรา 112 และมาตราอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในหมวดพระมหากษัตริย์บัญญัติขึ้นเพื่อให้สอดรับกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญซึ่งถือว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ เฉกเช่นเดียวกับประมุขต่างประเทศก็ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน และโดยข้อเท็จจริงแล้วเมื่อมีการล่วงละเมิดด้วยการดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท ฯลฯ ต่อองค์พระประมุขของชาติ พระองค์ก็มิอาจจะโต้ตอบ หรือชี้แจง หรือดำเนินการใด ๆ ได้ ดังนั้น ควรแก้ไขกฎหมายให้องค์พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะ “พระราชทานอภัย” สำหรับกรณีความผิดตามมาตรา 112 ได้ โดยให้เป็นการระงับการดำเนินคดีและให้ถือว่าคดีเป็นอันสิ้นสุด

นายชวลิต กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 112 สามารถทำหนังสือ “ขอพระราชทานอภัย” ต่อองค์พระมหากษัตริย์โดยให้คำมั่นว่าจะ “ไม่กระทำซ้ำ” อีกในระหว่างการดำเนินคดีก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด กรณีนี้เรียกว่า “การขอพระราชทานอภัย” ซึ่งต่างจากการ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” ที่คดีถึงที่สุดแล้ว และการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการร้องทุกข์ กล่าวโทษความผิดตามมาตรา 112 โดยให้มีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองในการดำเนินคดีประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลายสาขาเพื่อเป็นหลักประกันป้องกันการกลั่นแกล้งในการดำเนินคดี ทั้งนี้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ เห็นว่า ทั้ง 2 แนวทางดังกล่าวเป็น “หลักการใหม่” ในการแก้ไขปัญหาการจัดทำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการพิจารณาคดีความผิดตามมาตรา 112 จึงได้เสนอให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ หัวหน้าพรรค และ ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ ออกแถลงการณ์ในนามพรรคไทยสร้างไทย และร่วมกันแถลงข่าวการเสนอทางออกของปัญหา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และคดีความผิดตามมาตรา 112 ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิจารณานำไปปรับใช้ตามที่เห็นสมควร