นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ว่า เป็นการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางให้เข้ากับสถานการณ์โดยคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยที่ประชุมเห็นตรงกันว่าจำเป็นมากที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเพื่อเศรษฐกิจโตขึ้นกว่านี้ และโตอย่างต่อเนื่อง โดยต้องอยู่กรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด และจะต้องเพิ่มศักยภาพทางการคลังด้วยการจัดลำดับความสำคัญของรายจ่าย เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านการคลังของประเทศด้วย

นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ได้เห็นชอบหลักการ โดยการหารือจะดำเนินการในวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อนำไปสมทบกับการดำเนินในโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 

ซึ่งกระทรวงการคลังรายงานว่าในปีงบประมาณนี้จะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท ทำให้สัดส่วนที่จะกู้เพิ่มจะอยู่ที่ 1.12 แสนล้านบาท ส่งผลให้งบขาดดุลเพิ่มขึ้น 0.14% ทำให้หนี้สาธารณะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 68% ซึ่งยังอยู่ภายในกรอบวินัยการคลังที่ไม่เกิน 70%  และจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ 28 พฤษภาคมต่อไป    

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีงบประมาณรายจ่าย 2567 ได้ตั้งงบประมาณแบบขาดดุลไว้ 6.93 แสนล้านบาท ซึ่งผลจากการออกงบรายจ่ายเพิ่มเติมที่ต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก 1.12 แสนล้านบาท จะทำให้ปีงบประมาณ 2567 ขาดดุลทั้งสิ้น 8.05 แสนล้านบาท