โดย “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปิ๊งไอเดียส่งซิก “ผู้นำประเทศ” จัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ ในวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา และอาจจะมีการจัดประชุมแบบนี้บ่อยขึ้น

แน่นอนว่าปัญหาทางเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ของพี่น้องคนไทยในช่วงนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ชัดให้เห็นว่า ทุกอย่างหดตัวหรือติดลบทั้งสิ้น เนื่องจากการส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าคาด การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาด และการลงทุนภาครัฐยังหดตัว ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารของรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้ตามเป้าหมาย ทั้งที่เข้ามาบริหารเกือบจะครบปีแล้ว ยังไม่เห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน นอกเหนือจากเรื่องการท่องเที่ยวที่ต่อยอดมาจากรัฐบาลชุดก่อน

จากปัญหาที่สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขที่ติดลบดังกล่าว ทำให้นายกฯ ถึงกับนั่งไม่ติดนัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจเป็นครั้งแรกอย่างเร่งด่วน เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหา “ปากท้องแพงทั้งแผ่นดิน” กลับมาอีกครั้งก็เป็นได้ เพราะอย่าลืมว่าอีกนัยการเรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ แบบเร่งด่วนแบบนี้ ย่อมเป็นการรับรู้แล้วว่า สัญญาณอันตรายกำลังมาแล้ว หลังจากมีการแถลงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนเช่นนี้

แม้ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง แต่ก็ต้องรอลุ้นวัดฝีมือว่าจะกอบกู้สถานการณ์ได้หรือไม่ เพราะตราบใดที่ชาวบ้านรู้สึกว่ายังไม่มีเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น มีรายได้ กินดีอยู่ดีมากกว่าเดิม ความรู้สึกของประชาชนยังเดือดร้อน ข้าวของแพง รัฐบาลก็อยู่ลำบาก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่สร้างภาพให้เห็นมาตลอดว่าตัวเองเป็น “มือเศรษฐกิจ” เข้าใจเรื่องปากท้องชาวบ้าน มันก็ยิ่งมีความคาดหวังมากกว่าเดิม

โดย “ผู้นำประเทศ” ระบุว่า รัฐมนตรีหลายคนเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ไม่ใช่เฉพาะนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพียงคนเดียว โดยเฉพาะตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็เพิ่งออกมา โดยทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงนัดประชุม ครม.เศรษฐกิจไม่ได้ถือเป็นการสั่งการ แต่มาพูดคุยว่าแต่ละท่านมีข้อคิดเห็นอย่างไรบ้าง รวมถึงมีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง ค่อยมีการเสนอมาตรการออกมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ ถือเป็นจุดสำคัญ และเป็นจุดตายของทุกรัฐบาลเมื่อเวลาผ่านไปเกินหนึ่งปีขึ้นไปแล้ว หากทุกอย่างยังเหมือนเดิม หรือแย่ลงกว่าเดิม แรงกดดันย่อมพุ่งตรงไปที่ “ผู้นำประเทศ” และรัฐบาล ยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่า แน่นอนว่าอีกไม่นานเริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากจุดเด่น กลายเป็น “จุดอ่อน” ถูกตีตราเรื่อง “ปากท้อง” ที่เป็นเรื่องใหญ่ชี้ชะตาทั้งตัวนายกฯ และรัฐบาลแน่นอน.