เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่สำนักงานทนายคลายทุกข์ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายคลายทุกข์ พร้อมน.ส.ณัฐปภัษร์ ธนภัคนันท์หิรัญ หรือ “เจ” อายุ 41 ปี น้องสาวของนายพิชิต กลีบจินดา หรือ ต้น อายุ 45 ปี เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย หลังสงสัยว่าอาจถูกฆาตกรรมหรือถูกวางยา ขณะบินไปหาภรรยาที่ จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 เม.ย.โดยสภาพศพดูผิดปกติและแพทย์ลงความเห็นสาเหตุการตายไม่ชัดเจน จึงอยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับพี่ชาย ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. พี่ชายเคยถูกลอบยิงในพื้นที่รับผิดชอบของ สน.วังทองหลาง กรุงเทพ และคดีนี้ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้

ทนายเดชา กล่าว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนเรื่องสาเหตุการตายของนายพิชิต จาก น.ส.ณัฐปภัษร์ จึงได้ให้ประสานเรื่องการลอบยิงกับทางสน.วังทองหลาง ท้องที่เกิดเหตุและได้ให้ประสานเรื่องสาเหตุการตายของนายพิชิต กับ สภ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม ส่วนการสอบสวนของตำรวจขณะนี้ถือว่าคืบหน้าไปมากแล้ว ตนเชื่อว่าเรื่องหลักๆน่าจะเป็นปัญหาในครอบครัว

ช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ทนายเดชาได้ฝากเตือนไปถึงภรรยานายพิชิต ถึงกรณีที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ใครที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ต้องร้อนตัวให้อยู่นิ่งๆไว้ไม่ต้องไปโพสต์อะไร และขอเตือนด้วยว่า ขออย่ามาใส่ร้ายทางครอบครัวและน้องผู้ตาย และบิดามารดา ตามกฎหมาย มีสิทธิรับทรัพย์มรดก เพราะถือเป็นทายาทลำดับที่ 2

ทนายเดชา บอกอีกว่าเรื่องของการลอบยิงตอนนี้กำลังประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแล เบื้องต้นเชื่อว่าการตายของนายพิชิต ไม่ใช่การตายแบบธรรมชาติ เนื่องจากตัวผู้ตายเป็นคนแข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัวแต่เมื่อกลับไปถึงบ้านที่จว.มหาสารคาม แล้วกลับตายอย่างลงจึงทำให้เชื่อแบบนั้น

ทนายเดชา บอกอีกว่า ตนได้ดูข้อมูลเรื่องการลอบยิงและยืนยันเป็นเรื่องจริงแน่นอน และ เท่าที่ตนทราบข้อมูลในทางลับ น่าจะเป็นการจ้างวาน เพราะเท่าที่มีข้อมูล ผู้ก่อเหตุ 2 คนไม่เคยมีปัญหากับผู้ตายมาก่อน และเรื่องนี้ไม่ได้ทำคนเดียวเพราะมีลักษณะการนัดแนะ โดยมีหลักฐานเป็นการสื่อสารผ่านโทรศัพท์ในการนัดแนะชัดเจน ซึ่งเป็นการนัดแนะเพื่อให้ผู้เสียชีวิตออกมาทานข้าวแถวเลียบด่วนฯก่อน ส่วนจะนัดไปกี่ร้านอะไรยังไง ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจทำงาน ทั้งนี้ ข้อมูลทั้งหมด เท่าที่ตนทราบเป็นปัญหาหลักๆมาจากปัญหาในครอบครัว และชู้สาว แต่ตำรวจก็ยังไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องของปัญหาทางธุรกิจ

ส่วนกรณีที่บอกว่าญาติประสงค์ต่อทรัพย์และตัว น.ส.ณัฐปภัษร์ ตัดขาดกับที่บ้านไปแล้วกว่า 10 ปี นั้น ทนายเดชา บอกว่า หลังจากที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับพ่อแม่และน้องสาวของนายพิชิตแล้ว ไม่มีประเด็นเรื่องสมบัติเลย จึงขอฝั่งคู่กรณีอย่าเบี่ยงเบน และเรื่องการพูดจาให้ระวังคำพูดด้วย เพราะอาจจะโดนฟ้องหมิ่นประมาทได้ เพราะทางนี่เขาไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์ เจตนาที่มาหาตนมีเรื่องเดียว เพราะคดีลอบยิงยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งที่ไม่คืบหน้า ก็แสดงให้เห็นได้ว่า มือปืนหรือคนจ้างวานต้องเป็นคนมีเงินหรือไม่ ทั้งที่ยิงดันกลางกรุงเทพแต่ยังจับไม่ได้ และกล้องวงจรปิดเยอะไปหมด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ซับซ่อนและมีปัญหาในครอบครัวอย่างเดียว จึงอยากรู้ว่าพี่ชายเป็นอะไรตาย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ศพของนายพิชิต ได้มีการเผาจนเหลือแต่เถ้ากระดูกแล้วจะสามารถนำกลับมาชันสูตรได้หรือไม่ ทนายเดชาตอบว่า จากที่ได้ปรึกษาตำรวจและหมอ ได้บอกกับตนสามารถนำมาประกอบรูปสำนวนได้ อย่างในคดีของแอมไซยาไนด์ ที่ไม่ได้มีตัวของผู้เสียชีวิตมีเพียงเถ้ากระดูก เจ้าหน้าที่ก็ได้นำมาพิสูจน์ เพื่อดูในเรื่องของพฤติการณ์และใช้ในการพิสูจน์เจตนาประกอบสำนวนคดี

ทนายเดชา ยังตั้งข้อสงสัยว่า การที่อยู่ดีๆคนที่แข็งแรงมากคนหนึ่งตายโดยไม่ทราบสาเหตุจำเป็นที่จะต้องดูในเรื่องการทำงานของตำรวจในท้องที่เพราะหากตำรวจไม่ได้ทำอะไรเลยก็คิดว่าควรที่จะโดนมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที ทั้งนี้ในประเทศไทยมีกฎหมายที่บอกไว้ว่า หากบุคคลดังกล่าวตายแบบผิดธรรมชาติกฎหมายจะบังคับให้ชันสูตรโดยทันทีเรื่องนี้ต้องดูว่าสภ.ท้องที่ ได้มีการตั้งสำนวนชันสูตรขึ้นมาแล้วหรือยัง

ทนายเดชา ยังบอกอีกว่าเรื่องของ การที่นายพิชิตทำประกันชีวิตไว้นั้นตอนนี้ตนทราบมาว่าบริษัทประกันภัยดังกล่าว ได้มีการสืบเรื่องนี้เหมือนกัน แค่ไม่ได้ออกมาเปิดเผยว่า สืบไปแล้วเจอผลอย่างไรบ้าง ซึ่งจากที่ทราบมาเรื่องนี้หากเป็นคดีฆาตกรรมเพื่อหวังเอาทรัพย์ ซึ่งหากผู้ก่อเหตุกระทำเพื่อที่จะเอาเงินประกันนั้นก็จะไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว