เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หารือกับนาย Thomas Schubert ผู้บริหารบริษัท Leitner (แล็กเนอร์) ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับกระเช้าลอยฟ้า ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 17 พ.ค. เวลา 15.40 น. ตามเวลาท้องถิ่นของอิตาลี ซึ่งบริษัทดังกล่าว สนใจลงทุนโครงการเคเบิลคาร์ในประเทศไทย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการหารือ ว่า บริษัทดังกล่าว ติดต่อเข้ามาพบ และเสนอขายกระเช้าลอยฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเป็นบริษัทที่อยู่มานาน และให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพราะกระเช้าลอยฟ้าดังกล่าว ใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างครบวงจร และหากนับรวมเวลาในการขออนุญาตทางสิ่งแวดล้อม จะใช้เวลาสร้างกระเช้าลอยฟ้าแค่ 6 เดือน และสิ่งสำคัญคือการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะเมื่อสร้างกระเช้าลอยฟ้า จำเป็นต้องสร้างผ่านภูเขาและป่าสงวน และพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกัน ตอนนี้ไทยกำลังให้ความสนใจในการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ทางบริษัทนี้จึงมาเสนอ ศึกษาว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ โดยขั้นตอนต่อไปจะมีการว่าจ้างที่ปรึกษาโครงการให้มาศึกษาความเป็นได้ และการลงทุนจะต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดี และจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า บริษัท Leitner มีแนวคิดจะทำธุรกิจในไทยมานานแล้ว เพราะไทยมีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว ขณะที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และ จ.เลย เป็นเมืองรองที่รัฐบาลต้องการยกระดับ จึงมีแนวคิดอยากจะทำเรื่องนี้ขึ้นมา ดังนั้น เมื่อมีบริษัทข้ามชาติอยากมาลงทุนก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลการศึกษา และต้องพิจารณาผลการศึกษาอีกครั้งว่าออกมาเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่าเรื่องกระเช้าขึ้นอุทยานแห่งชาติภูกระดึง บริษัทดังกล่าวให้ความสนใจมาแล้วก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า บริษัทนี้ให้ความสนใจอยู่แล้ว และได้รับการประสานมาจาก สส. ในพื้นที่ด้วย ว่าอยากดำเนินโครงการนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่า โครงการนี้มีแนวคิดมานานมากแล้ว เชื่อว่าจะมีผู้สนใจอยากจะเข้ามาลงทุน จนกระทั่ง ตนเองเดินทางมาอิตาลีพอดี ซึ่งบริษัทนี้ตั้งอยู่แถวประเทศออสเตรีย ขับรถมาประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อหารือเรื่องนี้ ยอมรับว่า น่าสนใจและเชื่อว่าเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้เร็ว

เมื่อถามว่านอกจากอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแล้ว บริษัทนี้สนใจลงทุนในพื้นที่ไหนอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมาพิจารณาร่วมกัน และต้องดำเนินการไปทีละขั้นตอน เชื่อว่ายังมีอีกหลายจังหวัด ที่ต้องการการส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม