นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ช่วงนี้กระแสทุเรียนเต็มหน้าฟีดสื่อออนไลน์ แต่นัมเบอร์วันทุเรียนอร่อย ต้องยกให้ทุเรียนอุตรดิตถ์ โดยเฉพาะทุเรียนสายพันธุ์หลง-หลินลับแล ที่เป็นผลผลิต GI ของอุตรดิตถ์ หรือที่ได้ฉายาว่า “ทุเรียนเทวดาเลี้ยง” ปลอดสารพิษ เพราะปลูกบนภูเขาสูง ผลผลิตจะออกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ราคาต่อกิโลกรัมเริ่มต้น 300 บาท สาเหตุที่ราคาสูงก็เพราะผลผลิตมีไม่มากและรสชาติมีเอกลักษณ์ ความอร่อยที่ทานคำแรกก็รู้โดยทันทีว่าไม่เหมือนพื้นที่อื่น

ทุเรียนของจังหวัดอุตรดิตถ์มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ทุเรียนหมอนทอง 74.41% ทุเรียนหลงลับแล 11.87% ทุเรียนหลินลับแล 2.02% ทุเรียนพื้นเมือง 11.70% โดยมีพื้นที่ปลูกทุเรียนกว่า 47,000 ไร่ ครอบคลุม 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอลับแล อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ และอำเภอท่าปลา มีเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนกว่า 7 พันราย

กว่า 95% ของพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนเป็นภูเขาสูง และที่ลาดชัน ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือและทางด้านตะวันออกของอุตรดิตถ์ สภาพภูมิประเทศเป็นป่าสลับซับซ้อน ดินมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย หรือที่เรียกว่าดินแดงผาผุ ซึ่งเมื่อถึงฤดูฝนจะมีนํ้าไหลบ่าลงจากยอดเขาสู่พื้นที่ราบที่มีความลาดชัน นำพาเอาแร่ธาตุอาหารมาเติมให้กับพื้นที่การเกษตร และมีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของทุเรียนมีบรรยากาศเย็นในยามพลบคํ่า มืดเร็ว เพราะมีภูเขาสูงเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์

สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศเช่นนี้ ทำให้ทุเรียนอุตรดิตถ์มีรสชาติและกลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะ เป็นอัตลักษณ์ คือมีรสชาติหวานมันกำลังดี กลิ่นไม่แรง ประกอบกับไม่มีฝนตกมากในช่วงปลายเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงระยะที่ทุเรียนเริ่มแก่ จึง
ส่งผลให้เนื้อทุเรียนของอุตรดิตถ์มีความพิเศษกว่าแหล่งอื่น คือ เนื้อแห้ง สีเหลืองเข้ม ความพิเศษเหล่านี้เมื่อรวมกันเกิดเป็นความอร่อยที่ลงตัว โดยเฉพาะสายพันธุ์ “หลงลับแล” ผลทรงกลมมีกลิ่นอ่อน เนื้อสีเหลืองเข้ม ละเอียดเหนียว ไม่เละ รสชาติหวานมัน หอมอ่อน ๆ และสายพันธุ์ “หลินลับแล” ผลทรงกระบอก คล้ายผลมะเฟืองเนื้อจะมีสีเหลืองเข้ม แห้ง ไม่เละ รสหวานมันครีมมี่ กลิ่นหอมไม่แรง และที่สำคัญเมล็ดลีบ

นายอนันต์ สีแดง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานแพร่ รักษาการหัวหน้าศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์ เพิ่มเติมว่า อุตรดิตถ์เป็นเมืองมหัศจรรย์ผลไม้และเสน่ห์แห่งธรรมชาติมีความหลากหลายของผลไม้ตามฤดูกาลหาทานได้ตลอดปี ในช่วงไตรมาสที่ 3 เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม จังหวัดอุตรดิตถ์จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มมีกำลังซื้อที่ชื่นชอบกินทุเรียนเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตทุเรียนออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด รวมถึง มีงาน Local Festival ที่น่าสนใจจ่อคิวจัดในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อาทิ งานนุ่งซิ่นกินทุเรียน งานเทศกาลทุเรียน หลง-หลิน ลับแล และงานทุเรียน Festival

นอกจากมาฟินกับทุเรียนแล้ว ในลับแลยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เริ่มต้นที่ “พิพิธภัณฑ์ลับแล” ชมบ้านเรือนไทย จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ และจำลองวิถีชีวิตผู้คนลับแลในสมัยโบราณให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ เข้าถํ้าจำลองติดแอร์ จำลองในรูปแบบสามมิติ เล่าเรื่องตำนานเมืองสัจจะวาจา..ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ห้ามพูดโกหก

แล้วผ่านซุ้มประตูเมืองลับแลไปตะลุยสวนกินทุเรียนหลงหลิน ที่ ททท.ชี้เป้าแนะนำสวนทุเรียน และคาเฟ่ที่มีเมนูทุเรียนพร้อมเสิร์ฟ ได้แก่ สวนป้าเรียน, หลงสวน ณ ลับแล, บ้านบนดอย, เฮือนลับแล, ม่อนลับแล, สวนนิดตะวันฉาย, ธนาฟาร์ม นานกกก, สวนธันวา, ใจใหญ่ ฟาร์ม, สวนพลอย พนา, แลบัวอุตรดิตถ์, บ้านหลิน ลับแล, ร้านขมิ้น, ร้านลมเย็น, ร้านบ้านเทียนหอม, Me Story, ไร่ลุงรัง, NANA FIELD cafe and cabin, รอแป๊บบ…, Bikery Cafe และตลาดผลไม้หัวดง OTOP

ชิมอาหารท้องถิ่นที่ “ถนนคนกิน” ถนนราษฎร์อุทิศ ไม่ว่าจะเป็น “ของทอดเจ๊นีย์” สารพัดของทอดมีทั้งซิกเนเจอร์อย่าง “กระบองทอด” หน่อไม้ทอด ยัดไส้หมูสับ ขนมปังหน้าหมูทอด เกี๊ยวทอด ผักทอด ข้าวโพดทอด เต้าหู้ทอด ฯลฯ ทานคู่กับนํ้าจิ้มถั่วสูตรพิเศษของร้าน “หมี่พันป้าหว่าง” เมนูอาหารถิ่นทานเล่นของคนลับแล ความอร่อยอยู่ที่รสชาติของแผ่นข้าวแคบ รวมกับรสเปรี้ยวหวานเค็มของหมี่คลุก โรยกากหมูกรอบ “เฮือนข้าวพันผักริมคลอง” ข้าวพันผักอร่อยแบบไม่ต้องปรุง มีให้เลือกหลายเมนู เช่น ข้าวพันไข่ม้วน ข้าวพันเห็ดเข็มทอง ข้าวพันวุ้นเส้นไข่ดาว ฯลฯ ร้านอยู่บนถนนศรีวิจารณ์ ในบรรยากาศใต้ถุนบ้าน ให้อารมณ์เหมือนมาบ้านญาติ

สายบุญ เชิญมาไหว้พระขอพรเสริมบารมีที่ “วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง” พระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปคู่เมือง “หลวงพ่อโต” ภายในมีภาพวาดฝาผนังพระสังข์ทองเชื่อมโยงตำนานเวียงเจ้าเงาะ ด้านหลังมีโบราณสถานเก่าแก่ พระมหาเจดีย์ทรงลังกา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทุกปีที่จะมีการจัดงานประเพณีประจำปี “งานอัฐมีบูชา” ทุกวันแรม 8 คํ่า เดือน 6 ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม

อีกแห่งคือ “วัดพระแท่นศิลาอาสน์” พระอารามหลวง ภายในพระวิหารประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์ ศิลาแลงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8 ฟุต ยาว 10 ฟุต สูง 3 ฟุต ที่ฐานพระแท่นประดับด้วยลายกลีบบัว ไม่ปรากฏสร้างในสมัยใดทุกปีจะมีงานนมัสการพระแท่น
ศิลาอาสน์ ในวันขึ้น 8 คํ่า ถึง 15 คํ่า เดือน 3 ช่วงวันมาฆบูชา

ไปชม “พิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก ไท-ยวน ลับแล” พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่ทรงคุณค่า จำหน่ายและจัดแสดงผ้าซิ่นโบราณหลายร้อยผืน รวมถึงเป็นแกลเลอรีบอกเล่าเรื่องราวสาวลับแลนุ่งผ้าซิ่นที่หาชมยาก แล้วไปชมความงดงามของเรือนไม้สักทองทรงปั้นหยา 2 ชั้น บ้านหลังสุดท้ายในชีวิตของ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เจ้าคุณเชย กัลยาณมิตร) อดีตข้าหลวงใหญ่แห่งมณฑลพายัพในสมัยรัชกาลที่ 5 และเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัชกาลที่ 6

ไปอิ่มท้องกันต่อที่ “ร้านม่อนลับแล” ที่เดียวจบ..ครบทั้งเรื่องกิน คาเฟ่ ชอปปิง ด้วยรูปแบบการตกแต่งร้านที่เรียบหรูสะดุดตา กับบรรยากาศในสวนร่มรื่น มีมุมให้นั่งเล่นพักผ่อนหลายมุม มีห้องพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวผ้าซิ่นลับแลโบราณ และมีโซนจำหน่ายของฝากสินค้าพื้นเมืองของลับแล โดยเฉพาะผ้าพื้นเมือง และผ้าซิ่นสวย ๆ

หรือจะไปที่ “นิดตะวันฉาย” ร้านกาแฟและของฝาก เมนูซิกเนเจอร์ คือ กาแฟทุเรียน เอสเฟรสโซ่ทุเรียนเย็น รสชาติกาแฟผสมกับเนื้อทุเรียนเข้ากันอร่อยเกินคาด ท็อปปิ้งด้านบนด้วยทุเรียนหลงลับแลแช่เย็น เหมือนกินไอศกรีมรสทุเรียน 100%

นอกจากพื้นที่ลับแลแล้วอุตรดิตถ์ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง อย่างสายมูต้องมาสักการะขอพรหลวงพ่อเพชร วัดท่าถนน แล้วขอพลังบารมีจากพระยาพิชัยดาบหัก และแวะตกแร่เหล็กนํ้าพี้ บูชาเป็นเครื่องรางติดตัว ส่วนสายธรรมชาติ อุตรดิตถ์มี 3 อุทยานแห่งชาติ ทั้งอช.ภูสอยดาว อช.ต้นสักใหญ่ และ อช.ลำนํ้าน่าน ไว้รอท้าทาย หรือจะเพลิดเพลินกับเส้นทางปั่นจักรยานชมธรรมชาติ ชมสวนหอม ชมทุ่งนาสีเขียวในหน้าฝน.

อธิชา ชื่นใจ