จากกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยทางญาติจัดพิธีศพที่ศาลา 7 วัดสุทธาโภชน์ ซอยฉลองกรุง 8 แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กทม. ซึ่งคืนแรกมี นางทิชา ณ นคร เป็นเจ้าภาพร่วม กับครอบครัวของ น.ส.บุ้ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือ “ทนายด่าง” ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ทางญาติและทนายความ ได้ขอประวัติการรักษาของ น.ส.เนติพร จากทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ห้วง 5 วันสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ว่ามีอาการอย่างไร มีการรักษาและการช่วยเหลืออย่างไร เพราะจะสะท้อนถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับเอกสารดังกล่าว

ทั้งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรับปากกับญาติไว้ว่า จะให้ความร่วมมือเพื่อความโปร่งใส ซึ่งเอกสารที่ขอไปเป็นสิ่งที่ต้องมีบันทึกไว้อยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้ญาติเกิดข้อสงสัยว่า การรักษาพยาบาลไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีสิ่งใดที่แทรกแซงการทำงานของร่างกาย​หรือมีการประมาทเลินเล่อเกิดขึ้นหรือไม่ ใครต้องรับผิดชอบ ซึ่งยอมรับว่ามีความกังวลว่า เอกสารที่จะได้หลังจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ด้วย โดยตนมีการขอเอกสารการรักษา น.ส.เนติพร 2 ส่วน คือ จาก รพ.ราชทัณฑ์ และ รพ.ธรรมศาสตร์ ซึ่งยังไม่ได้ในส่วนของ รพ.ราชทัณฑ์ โดยพรุ่งนี้ (17 พ.ค. 67) ทีมทนายความจะไปขอเอกสาร และภาพวงจรปิดจากกรมราชทัณฑ์ อีกครั้ง

ส่วนเอกสารการรักษา จาก รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ตอนนี้ได้รับมาแล้ว ซึ่งระบุไว้ว่า ตอนที่รับตัว น.ส.เนติพร มาช่วงเช้าของวันที่ 14 พ.ค. นั้น เจ้าตัวไม่มีสัญญาณชีพแล้ว คือไม่มีสิ่งที่บ่งบอกการมีชีวิตอยู่ ไม่มีชีพจร ไม่หายใจ ซึ่งภาษาของตนก็คือตายมาแล้ว ก่อนมาถึงมือแพทย์ที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ การช่วยเหลือหลังจากนั้นเป็นการช่วยเหลือเพื่อหวังปาฏิหาริย์เท่านั้น และจากเอกสารที่ได้มา ได้มีการนำไปขอความเห็นจากแพทย์อิสระภายนอก ซึ่งมีรายงานจากแพทย์สรุปมาเป็นหลักฐานว่า การรักษาพยาบาลระหว่างทางที่ส่งตัวมาที่ รพ.ธรรมศาสตร์ นั้น เป็นการรักษาที่ผิดพลาด และมี หลักฐานบางประเด็นที่น่าเชื่อได้ว่าทางราชทัณฑ์ ทราบอยู่แล้วว่าบุ้งเสียชีวิตตั้งแต่ที่รพ.ราชทัณฑ์ ทั้งนี้ รายละเอียดหลักฐานของ 2 ส่วนนี้ ขอยังไม่เปิดเผยในตอนนี้

ทนายกฤษฎางค์ ยังระบุว่า ก่อนหน้านี้เวลาที่เข้าไปเยี่ยมบุ้ง แพทย์ไม่เคยแจ้งว่าบุ้งมีความเสี่ยงภาวะต่างๆ มาก่อน มีเพียงบุ้งเองที่บอกว่ามีอาการขาบวมและปวดขาเท่านั้น ส่วนเจ็บหัวใจหรือไม่นั้น ไม่มีการแจ้ง ส่วนอาการหัวใจโตเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนนั้น ตนไม่ทราบ ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวลจึงจำเป็นต้องขอประวัติการรักษาของบุ้ง 5 วันสุดท้าย เพราะจะสะท้อนได้ว่าเสียชีวิตเพราะอะไร ซึ่งคดีนี้ไม่ใช่คดีถูกยิงตาย แต่ถ้าถูกยิงตายก็ชัดเจน แต่อ้างว่าเกิดจากการเสียภาวะสมดุล จึงต้องดูภาวะการรักษา

ทั้งนี้ ตนได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมและพูดคุย น.ส.ทานตะวัน ซึ่งยังอยู่ในสภาพจิตใจที่แย่ และเครียด แต่ขอบอกเลยว่าตนได้ข้อมูลมาเยอะ จากการพูดคุยกับ น.ส.ทานตะวัน เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุ้ง ซี่งไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ราชทัณฑ์แถลงออกมา ส่วนไม่สอดคล้องอะไรบ้างนั้น ยังไม่ขอตอบในรายละเอียด ขณะเดียวกันตะวันยังบอกด้วยว่าคนที่กู้ชีวิตบุ้งเป็นใคร แต่ยังไม่ขอบอกในส่วนนี้เช่นกัน แต่บอกได้ว่าสิ่งที่ตะวันบอก สอดคล้องกับรายงานจากแพทย์ภายนอกที่ไปขอความเห็นมา

นายกฤษฎางค์ ยังกล่าวถึง กรณีที่มีการย้าย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ จากทัณฑสถาน โรงพยาบาลราลทัณฑ์ มารักษาที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ โดยที่ครอบครัวและทนายความไม่ได้ร้องขอนั้น ก็ค่อนข้างแปลกใจ ซึ่งเท่าที่แถลงข่าวออกมา ก็ทราบว่าย้ายเพราะภาวะเครียด ก็จะได้ทราบไว้ว่า ถ้าผู้ต้องขังมีความเครียดก็สามารถขอออกมารักษาได้

เมื่อถามว่าคิดว่าการย้าย น.ส.ทานตะวัน เป็นเพราะราชทัณฑ์กังวลว่าจะเกิดภาวะเดียวกับบุ้งหรือไม่ ทนายกฤษฎางค์ มองว่า ถ้ากังวลเรื่องนี้ น่าจะย้ายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้น อาจจะไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องนี้ หรืออาจกลัวว่าประชาชนจะนำมาใช้เป็นข้ออ้างหากเกิดอะไรขึ้น

ด้าน นายนภสินธุ์ ตรียาภิวัฒน์ หรือ “สายน้ำ” นักกิจกรรมทางการเมืองในฐานะเพื่อนของ น.ส.เนติพร กล่าวภายหลังกรมราชทัณฑ์ออกมาแถลงเกี่ยวกับการเสียชีวิตโดยบอกว่า คาใจหลายประเด็น และมองว่าก่อนที่ราชทัณฑ์จะแถลงควรเตรียมตัวและมีหลักฐานที่แน่ชัดมากกว่าการที่แถลงแล้วพูดไม่เหมือนกัน ไม่ยอมระบุรายละเอียดใดๆ เลย มองว่ายิ่งทำให้เรื่องน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก อีกคนบอกว่าปั๊มหัวใจตรงนั้นเลย ด้านอีกคนบอกว่าพาตัวลงไปปั๊ม แล้วพาลงไปอย่างไร มีการประคองหรือไม่ หรือทำถูกหลักการหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราสงสัยกันอยู่

เมื่อถามว่าตามหลักการช่วยชีวิตคน ควรปั๊มหัวใจให้ขึ้นก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายหรือไม่ นายนภสินธุ์ ระบุว่า ตนไม่ได้เรียนด้านการแพทย์มา แต่เท่าที่รู้ หากจับสัญญาณชีพไม่ขึ้นควรที่จะ PCR โดยทันที โดยอุปกรณ์ที่เพียบพร้อมทุกอย่างที่ราชทัณฑ์บอก ซึ่งไม่ได้มีการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจในการช่วยชีวิต ซึ่งสิ่งเป็นมาตรฐานโรงพยาบาล และบางสถานที่ เช่น มหาวิทยาลัยฯ และที่สาธารณะอื่นๆ ก็มีเครื่องนี้แล้ว ซึ่งราชทัณฑ์บอกว่าไม่ได้ใช้เครื่องมือนี้ ตนเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ได้ใช้

นายนภสินธุ์ กล่าวว่า กล้องวงจรปิดจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่างว่า ขั้นตอนในการกระทำทำให้คุณหรือไม่ ใครเป็นคนกระทำ ใครเป็นคนปั๊มหัวใจ และปั๊มถูกวิธีหรือไม่ ปั๊มนานเท่าไหร่ต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุจนไปถึง รพ.ธรรมศาสตร์ฯ หรือไม่ รวมทั้งสัญญาณชีพขณะนั้นเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้มองว่าต้องมีข้อมูลและรายละเอียดที่เป็นหลักฐานออกมา เราถึงตรวจสอบและยืนยันกันได้

เมื่อถามถึงกรณีที่ราชทัณฑ์ระบุว่า หลังจากที่ส่งตัว น.ส.เนติพร จาก รพ.ธรรมศาสตร์ กลับไปรักษาตัวที่ รพ.ราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน น.ส.เนติพร ได้กินข้าวตลอด เช่น ข้าวต้ม ไข่เจียว ฯลฯ และอยู่อย่างสุขสบาย ประเด็นนี้ นายนภสินธุ์ กล่าวว่า “ถ้าสุขสบาย เพื่อนผมคงไม่ตาย หากบอกว่าสุขสบาย อยากถามว่าสุขสบายยังไงถึงทำให้ตอนนี้ผมมาอยู่ที่วัดได้” ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ไม่ว่าจะกินหรือไม่กิน สุดท้ายเพื่อนก็ตายในอ้อมอกและการดูแลของราชทัณฑ์

นายนภสินธุ์ กล่าวว่า ขณะนี้สงสัยทุกประเด็นและยังไม่ตัดประเด็นใดออกจนกว่าจะมีรายละเอียดออกมา แต่บอกได้ชัดเจนว่าผลการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร ครั้งนี้ มาจากการคุมขังโดยไม่ชอบ จนทำให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำและเสียชีวิต

นายนภสินธุ์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์นี้ ประชาชนคงได้เห็นกับตัวแล้วว่า การที่ราชทัณฑ์ดูแลอดีตนายกรัฐมนตรีแบบ…. และดูแลเพื่อนของตนอีกแบบ… คงเป็นตัวบ่งชัดที่ดีว่ามีการดูแลสองมาตรฐานหรือไม่

นายนภสินธุ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากฝากให้รัฐบาลบอกกรมราชทัณฑ์ว่า ให้เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้ และให้ส่งมอบให้ทางครอบครัวหรือทนายความ เพื่อนำมาใช้ในการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะส่วนตัวกังวลว่าหลักฐานจะถูกทำลาย เนื่องจากว่าหลักฐานส่วนใหญ่เป็นกระดาษ เพราะในอดีตที่ผ่านมาสำหรับคดีใหญ่ ๆ ก็มีการถูกทำลายหลักฐานเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเอกสาร หรือกล้องวงจรปิด

เมื่อถามถึงประเด็นที่ราชทัณฑ์ส่งตัว น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ผู้ต้องขังคดีป่วนขบวนเสด็จ มารักษาตัวที่ รพ.ธรรมศาสตร์ เพราะว่ากลัวเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา มีการพยายามขอมารักษา แต่บางครั้งก็อนุญาตให้มา ก่อนจะให้ส่งตัวกลับ นายนภสินธุ์ กล่าวว่า มองว่าราชทัณฑ์เคยมาเสนอว่า รพ.ราชทัณฑ์ เพียบพร้อมในการดูแล แต่ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมนั้นแล้ว

ขณะเดียวกันวันนี้มีนักกิจกรรมหลายคน เช่น รุ้ง ปนัสยา และมายด์ ภัสราวลี เข้ายื่นหนังสื่อที่ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ให้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชี้แจงอย่างโปร่งใสนั้น ส่วนตัวยังไม่ได้มีการพูดคุยกับใครเลย เพราะยุ่งกับการจัดงานศพ คิดว่าหลังจากนี้อาจจะมีการพูดคุยกัน.