ถูกสนใจอยู่อย่างต่อเนื่องสำหรับประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ อย่างเรื่องราวของหนุ่มหล่อ เอส กันตพงศ์ พระเอกและพิธีกรมากความสามารถที่วันนี้จะมาเปิดใจหลังหมดสติหยุดหายใจกว่า 40 นาที ความทรงจำเหลือ 20% จำภรรยาและลูกไม่ได้ พร้อมเผยวิธีฟื้นความทรงจำเป็นเด็กแรกเกิดในร่างผู้ใหญ่และติดเครื่องกระตุ้นหัวใจตลอดเวลา พร้อมเผยเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หลับไป 8 วันแต่มีคนเรียกให้กลับมา งานนี้เจ้าตัวออกมาพูดเรื่องเอฟเฟกต์นี้เป็นเพราะวัคซีนโควิดผ่านรายการแฉ แบบจัดเต็ม ก่อนที่หลายคนจะตกใจกับสิ่งที่เขาเล่าและพากันอยากรู้ไทม์ไลน์ของการป่วยและอาการของเขา

“เดลินิวส์ออนไลน์” จึงได้ยกบทสัมภาษณ์ของ คุณแม่ของหนุ่มเอส และ คุณหมอจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอาการของหนุ่มเอสไว้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ซึ่งได้เล่าไทม์ไลน์และอาการของโรคหนุ่มเอสไว้อย่างชัดเจน

“เอส กันตพงศ์” แฉมีเสียงกระซิบผู้ใหญ่ยุให้ฟ้องกลับ หลังนอนแน่นิ่งนิทรา 8 วันจากวัคซีน!

แม่ เผยว่า “จริงๆ ย้อนไปวันที่ 9 พ.ค. 66 ที่มีรายการบิ๊กดีเบต อาการที่เราเห็นได้ชัดของเอสก่อนจะหมดสติ คือเขาจะกระวนกระวาย และพยายามขยับเสื้อตลอด เหมือนเริ่มจะมีอาการหน้ามืด แล้ววันนั้นก่อนจะหมดสติ เขาได้เอียงตัวไปทางพิธีกรชายอีกท่านหนึ่ง ไม่ได้ล้มหัวฟาดลงไป แค่เอนลงไปแล้วเขาช่วยรับไว้ แล้วที่โชคดีคือมีคุณหมออยู่นั่นด้วย ก็ได้ช่วยปั๊มหัวใจอยู่สักพักใหญ่ เห็นคุณหมอบอกว่าตอนเอสหมดสติไป น่าจะหยุดหายใจเลย ก็ปั๊มหัวใจกันไปเรื่อยๆ จนถึงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจ ปั๊มขึ้นมาได้ 2 นาที แล้วก็หยุดไปอีก แล้วก็ปั๊มขึ้นมาได้สักพักหนึ่ง จนดูว่าอาการน่าจะเข้าที่ หลังจากนั้นก็มีการปฐมพยาบาล จนคิดว่าน่าจะเคลื่อนย้ายมาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ เราก็พามาวันที่ 11 พ.ค. 66 เพื่อให้คุณหมอทางนี้รักษาต่อ”

ด้าน คุณหมอ ที่รักษาเอส เคยเปิดเผยไว้ว่า “สาเหตุของความเป็นไปได้มากที่สุดอาการของเอสคือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Myocarditis) ในกรณีของเอสเป็นขั้นรุนแรง ก็คือการทำงานของหัวใจมีความผิดปกติก็คือลดลงอย่างมาก แล้วก็ทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่าการเต้นของหัวใจผิดจังหวะขั้นรุนแรง เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นไป หลังจากผู้ป่วยถูกย้ายมาจากโรงพยาบาลแห่งแรก คนไข้ถูกประเมินแล้วก็ตรวจรักษาจากโรงพยาบาลแห่งแรกแล้วก็ส่งมารักษาที่โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ ณ ตอนนั้นเอสถูกใส่เครื่องพยุงชีพ แล้วก็เครื่องช่วยหายใจ ทั้งหมด ตอนส่งมาผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้วินิจฉัยที่เป็นไปได้มากที่สุด แล้วเริ่มการรักษาคือให้ยา ผู้ป่วยมีการตอบสนองที่ดีขึ้นทุกๆ วันตลอดการรักษา ตั้งแต่เริ่มรักษาผู้ป่วยค่อยๆ ลดใช้เครื่องช่วยหายใจและเครื่องพยุงชีพได้ ณ วันที่ให้ข้อมูลนี้คือวันที่ 22 มิถุนายน 66 การทำงานหัวใจของผู้ป่วยกลับมาใกล้เคียงปกติแต่ต้องอยู่ในความใกล้ชิดของแพทย์ ระบบเลือดหยุดการทำงาน ไตฟื้นกลับมาแล้ว ผู้ป่วยกลับมาใกล้เคียงปกติแล้ว แต่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ ทั้งนี้เพื่อติดตามอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างใกล้ชิดต่อไป นอกจากนี้เอสมีระบบไหลเวียนโลหิตหยุดทำงานไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ไตแล้วก็สมองเป็นอวัยวะที่ไวต่อการขาดเลือดมากที่สุดในร่างกายมีความเสียหายไปหมด”

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก S_kantapong