น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นโซลาร์เซลล์ลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน มีความคืบหน้ากว่า 99.26% และพร้อมจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ภายในเดือน ต.ค. นี้ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนพลังงาน โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าแบบไฮบริดนี้ ที่ผ่านมา ครม. ได้สนับสนุนงบกลาง วงเงิน 643 ล้านบาท เป็นการดำเนินการร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี มีวงเงินลงทุน 2,265 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 87.53 ล้านหน่วยต่อปี รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในจังหวัดอุบลราชธานี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เพิ่มขึ้น และทาง กฟผ. ยังเดินหน้าโครงการในพื้นที่เขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนอื่น ๆ  ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายกำลังผลิตรวมทั้งหมด 2,725 เมกะวัตต์ ภายในปี 80

ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดแผนพลังงานชาติ ครอบคลุมแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก แผนอนุรักษ์พลังงาน แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อขับเคลื่อนภาคพลังงานของประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่มีสัดส่วนของพลังงานสะอาดไม่น้อยกว่า 50% ภายใต้เป้าหมายไทยในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใน 44 ปีข้างหน้า

“นายกรัฐมนตรี เน้นความสำคัญที่ไทยต้องเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ลดภาวะโลกร้อนและลดปัญหา พีเอ็ม2.5 ส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ มีการผลักดันนโยบายพลังงานของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน ส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายไฟฟ้าในภูมิภาค สร้างความสมดุลระหว่างขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการผลิตของไทย และการรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงและยั่งยืนด้านพลังงานให้ประเทศ ที่สำคัญ คือ คนไทยมีพลังงานสะอาดใช้ในราคาที่จับต้องได้”